Sunday, October 20, 2013

[exteen backup] โดนเขาแทคมาจนได้ งั้นก็ลุยละกัน

เหอๆ จริงๆก็คิดอยากลองทำมาเหมือนกันแหละ แต่ไม่มีคนแทคมา + ไม่ได้คิดจริงๆจังๆเลย
ไหรๆตอนนี้
ท่านอัยก็แทคมาแล้ว ก็ลองเล่นกันซะเลยดีกว่า
จริงๆเขาว่าว่าแทคคือต้องเล่าเรื่องความลับของตนเองให้คนอื่นฟัง
แต่เราก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนที่เพื่อนเราคนไหนรู้แล้วมั่ง
ก็เอาเป็นว่าจะเล่นตามใจฉันละกันนะ โฮะๆ ขอให้แต่ละคนยังไม่รู้ละกันนะ~ ^^"

1. Pen Name
ครั้งแรกสุดที่มีเพนเนมน่าจะราวๆตอน ม.3 ตอนนั้นส่งไปหาเพนเฟรนด์ที่ C-kids ชื่อที่ใช้ก็ธรรมดาสุดๆ Fairy อันเนื่องมาจากความที่ตัวเองชอบ Fairy Tale 
ต่อๆมาจำไม่ได้ว่ามีชื่ออะไรใช้ตอนกลางรึเปล่า เหอๆ แต่ตอนราวๆ ม.4-5 ก็ได้ชื่อใหม่มาตอนที่รวมกลุ่มกับเพื่อนที่โรงเรียน ตอนแรกมีชื่อ Beta ว่า Watery_Harp แต่ตอนจะเดบิวท์จริง(?) ก็ได้ชื่อมาเป็น Wassery_Harp ซึ่งดีมาก เพราะใช้ได้จนบัดนี้และไม่เคยมีใครซ้ำซะด้วย
ที่มาของชื่อนี่ก็คือคำว่า Water กับ Harp น้ำเป็นธาตุที่ตัวเองชอบมากที่สุดทั้งที่ตัวเองธาตุไฟ เหอๆ ส่วน Harp เป็นเครื่องดนตรีในฝันมาตั้งแต่เด็กๆเลย ส่วนทำไมต้อง Wassery? ก็คือมาจากคำว่า Wasser ที่เป็นภาษาเยอรมันแปลว่าน้ำ บวกกับ Suffix "y" เพื่อทำให้เป็น adj. (ไม่ได้เกี่ยวกับอะไรว๊ายวายทั้งสิ้น - -+)
2. การศึกษาอันนี้แอบเป็นการแนะแนวเด็กไปในตัว เหอๆ
ลำดับการศึกษาก็เป็นไปอย่างปกติน่ะแหละ แต่ที่พิลึกกว่าชาวบ้านเขาก็คือ
ไม่เคยขยันเรียนเลย...
ลอกการบ้านครั้งแรกสุดในชีวิตคือตอน ป.1 วิชาเลข จำได้ว่าไปซุกตัวอยู่โต๊ะด้านหลังโรงเรียนเพื่อลอกการบ้านทุกวัน เหอๆ
การอ่านหนังสือสอบนั้นก็ทำเอาก่อนวันสอบแค่วันเดียวเป็นประจำตั้งแต่เด็กยันแก่ ไม่ว่าจะตอนประถม มัธยม หรือจวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้
เดี๋ยวนี้ดีขึ้นหน่อยคือจะใช้เวลาแค่ 2-3 วันในการอ่านสอบ ในกรณีที่สอบวันละ 2 วิชา ถ้าสอบวิชาเดียวก็อ่านวันเดียวก่อนสอบเหมือนเดิมน่ะแหละ
ตอนเอนท์ก็ไม่ได้อ่าน กร๊ากกกกกกกก ทำข้อสอบเก่าไปวิชาละ 2 ปี แถมเป็นการทำไปพร้อมๆกับนั่งดู Tennis Thailand Open อีกต่างหาก ก่อนสอบไม่กี่วันก็ยังไป Impact Arena เมืองทอง เพื่อไปดูภาระด่อนตีสดได้ (ไม่ได้ชอบพี่บอลนะเคอะ แต่พี่สาวมันซื้อบัตรได้รอบเป๊ะๆพี่บอลเท่านั้นเอง เอิ๊ก...)
เคล็ดลับ...? จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ลับอ่ะนะ แต่เราเป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับการเรียนในห้องเรียนค่อนข้างมาก เพราะรู้ตัวเองว่าออกไปนอกห้องเรียนก็ไม่อ่านหนังสือ 
เพราะฉะนั้นการเรียนในห้องเลยเป็นแหล่งพลังทางเกรดเราเพียงอย่างเดียว
ส่วนพวกรายงานก็ส่งเลทประจำ กร๊ากกกกกกกก
สรุปว่า... เป็นเด็กเลวจริงๆ... ^^"
3. ความหัวรุนแรงแต่ขี้ป๊อด
ถ้าอ่านเอนทรี่เราบางอันหรือได้คุยกะเราสนิทพอประมาณจะรู้ได้เลยว่าเราเป็นพวกเฟมินิสต์และหัวรุนแรงจัดว่ามากทีเดียว
อันที่จริงเราเป็นพวกที่เหมาะกับการเรียนปรัชญาอยู่อย่างคือเป็นพวกชอบคิด จนบางทีคิดมากไปซะด้วย
พอคิดไปคิดมาความคิดรุนแรงต่างๆมันก็เลยพลอบเข้ามาด้วย ประมาณว่าคนเรามันเลวโดยกำเนิด ทำไมคนเราต้องมีปัญหากัน บลาๆ สุดท้ายมันก็เลยลากไปคิดในหลายๆครั้งว่าคนเรามันก็ควรจะได้รับการลงโทษอย่างสาสมบ้าง ถ้ามันจำเป็นจะต้องฆ่าก็ฆ่าบ้าง การกำจัดคนเลวออกไปในสังคมก็อาจจะจำเป็นบ้าง (ชักจะเข้าใจความรู้สึกแบบคิระ หึหึ...) ประเทศที่เกลียดมากที่สุดคืออเมริกา เพราะชอบทำตัวเป็นตำรวจที่เวรซะเอง ทำตัวเหมือนดูแลประเทศอื่น แต่จริงๆก็คอยเหยียบหัวประเทศอื่นไปเรื่อยๆ ก็เข้าใจว่าเป็นธรรมดาที่คนเราจะเห็นแก่ตัว เอาประเทศและเอาตนเองเป็นหลัก แต่การกระทำในนามความยุติธรรมมันเหม็นเน่าสิ้นดี ความหัวรุนแรงของเราอีกอย่างก็คือการที่อยากให้อเมริโกย(นามสมมติ)เน่าๆไปซะที
แต่อีกด้านของเราดันเป็นคนขี้กลัว ขี้ป๊อด ขี้กังวลมาก ตั้งแต่เป็นโรควิตกจริต ไปเที่ยวนอกบ้านกันทั้งครอบครัวทีไร ไม่ได้โฮมซิก แต่กังวลบ้าบอว่าจะเกิดอะไรกับบ้านหรืออุบัติเหตุ แถมยังมีของที่กลัวต่างๆนานามากมาย ไม่ว่าจะเป็น สัตว์หยึยๆ อย่าง หนอน กิ้งกือ ไส้เดือน (ใครรู้แล้วเอามาหลอกเลิกคบกันไปเลย พุดจริงนะเนี่ย) หรือกลัวความสูง ว่ายน้ำไม่เป็น และกลัว...เข็มฉีดยา... - -... เมื่อก่อนกลัวลูกโป่งแตกกับกลัวลิฟท์ด้วย แต่หลังๆกลัวลิฟท์ไม่ได้ เพราะตึกมันสูงขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ก็เลยชักชินชา ที่อาการแย่ๆแบบบ้าๆอีกอย่างก็คือ อยากเจาะหู แต่ไม่กล้า... - -... หูเลยไม่มีรูมาจนถึงบัดนี้
4. ความเชื่อแปลกๆจริงๆแล้วเป็นคนมีความเชื่อแปลกๆเยอะ
สำหรับเราแล้วความเชื่อกับ Brand Royalty เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ แต่เราเป็นคนที่มี Brand Royalty ไม่เยอะเท่าไหร่ อาทิเช่น ดินสอกดต้อง Rotring กระดาษทิชชูติดตัวต้อง Clenex รุ่นคิตตี้ ยางลบต้องซากุระ แต่พวกแฟชั่นต่างๆเราจะไม่มีเรื่อง Brand Royalty เลย (จริงๆชีวิตคนเรามี Brand Royalty บ้างถึงจะสนุกนะ) ส่วนด้านความเชื่อที่ทำตัวแปลกๆกว่าชาวบ้านเขาก็ได้แก่...
ในโต๊ะอาหารห้ามสั่งของกินซ้ำกัน อันนี้น่าจะมาจากที่ที่บ้านเวลาสั่งอาหารจะสั่งไม่ซ้ำกัน เพื่อจะได้ชิมหลายๆอย่าง เลยติดนิสัยว่าไม่ว่ากินอาหารที่ไหนกับใครก็สั่งซ้ำไม่ได้ ถ้าคนอื่นสั่งที่เราอยากกินก่อน เราก็ต้องเปลี่ยนเมนู อาการเราหนักขนาดที่ว่าเห็นคนอื่นสั่งซ้ำกันก็จะทุกข์ทรมาน แม้แต่กระทั่งมองโต๊ะของคนอื่นที่ไม่รู้จักกัน ถ้าสั่งซ้ำเราก็จะทรมานใจมาก...
ความเชื่ออีกอย่างที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านคือ เวลาทำบุญ เวลาไหว้พระจะไม่ขอพร เพราะเชื่อว่าถ้าคนเราจะได้อะไรจากการขอพรมันก็เหมือนกับว่างานๆหนึ่งมันไม่ได้สำเร็จด้วยตัวเอง เลยจะไม่ขอพรอะไร มากสุดก็จะขอแค่ให้คนอื่นๆมีความสุข
หรือการเสี่ยงเซียมซี ปกติคนอื่นถ้าได้ไม่ดีเขาจะไม่เก็บใบไว้ แต่เราจะเก็บหมดเลย เพราะถือว่านั่นคือดวงของเรา ชีวิตของเรา ถ้าทิ้งก็เหมือนไม่ยอมรับความจริง
หรือเราชอบตั้งนาฬิกาของตัวเองให้เร็วกว่าจริงราวๆ 10-20 นาที เพื่อหวังว่าตัวเองจะทำอะไรเร็วขึ้น แต่มันก็ใช้ไม่ได้จริงเลย เพราะตัวเองก็รู้ว่านาฬิกามันเร็วไป แถมมันทำให้กะเวลาทำอะไรผิดอยู่เสมอๆอีกต่างหาก
อือ พอก่อนละกัน จริงๆมีอีกเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
5. ตำนานการเข้าสู่เส้นทางนักล่า(เกมจีบ)หนุ่ม
เรื่องนี้จะไม่พูดก็เหมือนไม่ใช่ตัวเอง กร๊ากกก
ตอนนี้เราติดเกมแนวนี้อย่างแน่นเหนียว สาเหตุก็คงเพราะว่ามันสานฝันให้เป็นจริงดี บนโลกน๋อยๆใบนี้จะหาหนุ่มใดเหมือนหนุ่มในเกมแนวนี้ได้ล่ะเคอะ อีกอย่างคงเป็นเพราะเราชอบเกมที่เป็นแนว Simulation จำลองเรื่องต่างๆลงมา ชอบเกมแนวที่ไม่ได้มีฉากจบอย่างเดียว การกระทำของเราจะเป็นตัวกำหนดแนวทางต่อๆไปในเกม จุดนี้เป็นจุดที่แนว RPG ให้ไม่ได้ ก็เลยมาติดแหง่กกับเกมแนว Simulation เนี่ยแหละ เหตุผลสำคัญอีกอย่างก็คงเป็นเพราะว่าเกมแนวนี้มีหนุ่มในฝัน กร๊ากกกกกก
การก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้เริ่มมาตั้งแต่สมัยอายุยังไม่ถึง 10 ขวบ ไม่แน่ใจว่าเท่าไหร่เหมือนกัน น่าจะราวๆ 8 รึเปล่า เป็นช่วงที่ที่บ้านมีเครื่อง SFC และตอนนั้นมีแผ่น Angelique อยู่บ้านด้วย แน่นอนว่าพี่ชายไม่เล่น เพราะเล่นไม่รุ้เรื่อง ตอนนั้นเราเองก็เล่นไม่รู้เรื่อง แถมยังเป็นเด็กใสซื่อน่ารัก มองไม่ค่อยจะออกด้วยซ้ำว่านั่นคือหนุ่มๆ บางคนนึกว่าเป็นผู้หญิงซะอีก แต่ไม่รู้สัญชาตญาณส่วนไหนมาดลให้เรารู้ว่า "มันมีฉากจบแบบนั้นแน่ๆ!"... เชื้อดีแต่เด็กเชียว แต่ก็เล่นไม่รู้เรื่องอยู่ดี สุดท้ายก็เลยกลายเป็นอดีตที่ถูกลืมเลือนไป
แต่แล้วพวกเราก็ผูกพันกันดั่งคำสาปหลอกหลอน(?) ตอนเริ่มเรียนญี่ปุ่น (ม.3) เราก็ได้ไปคิโนะ ตอนนั้นเป็นช่วงล่ำซำ และตอนนั้นบ้าซากุระ(ของแคลมป์) แต่พอซื้อซากุระญี่ได้หมด ก็เริ่มมองหาอะไรอย่างอื่น ตอนนั้นก็ไปสะดุดกับหนังสือการ์ตูนของ Angelique เข้านั่นเอง 
ด้วยความที่คุ้นๆคลับคล้ายคลับคลาก็เลยคว้ากลับบ้าน และเราก็ระลึกชาติได้ว่าเราเคยมีชะตาต้องกันนั่นเอง
เราก้เลยเริ่มคุ้ยข้อมูลจากเน็ทและเริ่มคว้าเพื่อนใกล้ๆตัวตอนนั้นมาบ้าด้วย
หลังจากนั้นมาเราก็เริ่มหาข้อมูล หาเกมอื่นๆที่แนวๆมาเล่นด้วย แต่ตอนนั้นของก็ยังไม่เยอะอ่ะนะ เราเองก็ไม่มีเครื่อง PS จึงเป็นช่วงที่ดำเนินไปด้วยความทรมานโดยแท้ ตังค์เลยถูกเอาไปซื้อของแทน เกมไม่ได้เล่นขอซื้อไกด์บุคก็ยังดีได้ก็มี สินค้าช่วงนี้เลยเป็น Angelique ทั้งหมด
แต่ความบ้า Ange มันก็เริ่มลดลงเพราะมีของอื่นๆออกมามากมาย แถมหลังๆชักจะมั่วๆซั่วๆบ่มิไก๊ขึ้นไงไม่รู้
เพราะงั้นตอนนี้เต็งหนึ่งเลยกลายเป็นฮารุกะ 3 กร๊ากกกกกกกกกกก ทั้งที่ตอนแรกเราไม่คิดจะเล่นเลย ในซีรี่ยส์สามอันของ Neoromance ฮารุกะเป็นแมว(?)นอกสายตาที่เราไม่ได้มองเลย เพราะเราไม่ชอบประวัติศาสตร์ และคิดว่าภาษาน่าจะยาก ตอนลองฮารุกะ 1 ก็ไม่ถูกใจเท่าใดนัก แต่ไหงมาติดภาค 3 ได้งอมแงมก็ไม่รู้ หุๆ (คงต้องบอกว่าเพราะระบบเขาดีขึ้น เรื่องก็สนุก แต่ที่เป็นประเด็นอีกอย่างคือ เราไม่ชอบลักษณะสีของฮารุกะแรก มันทึมๆ)
ปัจจุบันอุทิศตัวให้เกมหนุ่มๆไปหลาย อุทิศจนไม่มีเวลาเรียน เอ๊ยไม่ใช่ อยากจะให้เป็นแบบนั้นเหมือนกันแหละ กร๊ากกก แต่ถ้าไม่เรียนแล้วเล่นเกมคงโดนคนที่บ้านเจี๋ยน ในอนาคตได้ได้ทำงานด้านนี้จะดีใจมาก อยากเรียนเขียนเกมด้วย เหอะๆ แต่ถ้าไมได้ทำด้านนี้ก็อยากทำงานด้านหนังสือ เพราะพลังจินตนาการต่างๆนานาส่วนใหญ่มันก็มาจากเกมและการ์ตูนน่ะแหละ
พอก่อนละกัน ยาวเยื้อเลย จะโบ้ยให้ชาวบ้านต่อแล้ว เหอๆ
ไม่รู้จะโบ้ยให้ใครดี ส่วนใหญ่ก็โดนๆกันไปแล้ว...รึเปล่า?
เอาเป็นว่า ดังนี้ละกันเน้อ
(ได้เข้ามาอ่านบ๊อกๆเค้ามั่งป่าวฟะ พวกท่านทั้งหลาย...?)
หนูภาโกะ - มาเอาไปเร็ววววววว หุๆ โยนโครมไม่รู้ไม่สนเพจจ้อย - ทำๆไปเถอะน่า อย่าคิดมาก~ นังทราย - รู้ว่าแกขี้เกียจ แต่ทำหน่อยเหอะนังเจน - อีนี่ก็ดองบ๊อกๆมาเป็นชาติแล้วนะ เขียนไรหน่อยเถอะ
ง่าใครอีกมั่งหว่าที่สิงสถิตย์ ณ exteen... 
เอาเป็นว่าใครหลงมาก็จงรับไปละกัน คนสุดท้ายก็คือคุณน่ะแหละ!! - -+ (เล่นง่ายนะเอ็ง)
(ก็เราไม่แน่ใจว่าเพื่อนเราคนไหนมาอ่านบ๊อกๆเราบ่อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าใครมาอ่านก็คิดซะว่าอิฮั้นแทคเจ้าละกันนะเคอะ~ )
ไปล่ะค่า งวดหน้าจะมาลงเรื่องไปแอ่วเหนือมา~~

No comments:

Post a Comment