Sunday, October 20, 2013

[exteen backup] รวมเรื่องของคุณคนนั้น

เรื่องของ "คุณคนนั้น"
ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยากจะให้เรียกชื่อรึเปล่า
มาทวนอ่านอีกรอบ ก็ยังรู้สึกว่า ไม่ว่าฝ่ายใดจะผิดขนาดไหน
การโต้ตอบของอีกฝ่ายก็ยังไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี
และจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้เงินคืน =3=
(ขอโทษที่คิดมากเรื่องเงิน แต่ดั้นว่ามันคือรูปธรรมที่แสดงระดับศีลธรรมได้ชัดเจน)

มาเป็นระดับย่อมๆกาพย์ (ตรงข้ามกับมหากาพย์)
เลยรวมเอาไว้ที่เดียวดีกว่า
ไม่รู้จะแยกทำไมเยอะแยะ เพราะไม่ได้มีเนื้อหาอะไรน่าอ่าน
เพียงแต่เป็น moment นึงในชีวิต ที่สร้างตัวตนของตัวเราเองขึ้นมา

ลังเลๆว่าจะเก็บคอมเมนท์จากอีกฝ่ายที่เข้ามา blame ดีมั้ย
แต่คิดไปคิดมา ช่างมันเถอะ
เอาแค่ว่า มันเป็น moment หนึ่งในชีวิตก็แล้วกัน

มันมีอีก moment นึงในชีวิตที่เป็นตัวสร้างบุคลิกตอนนี้เหมือนกัน
แต่เรื่องนั้นมันเก่าขนาดยังไม่ใช่ช่วง blog เฟื่องฟู
เลยไม่มีเรื่องเก็บละ =3=
ยุ่งจริงๆ ชีวิตมนุษย์

Vol. 2 : http://wasseryharp.blogspot.com/2013/10/exteen-backup-vol2.html
เครียดโว้ย...

อันเนื่องมาจากว่าครั้งนี้จะเป็นบล๊อกระบายความอัดอั้นและพาดพิงถึงผู้อื่น เราจึงจะลบเอนทรี่นี้ภายในเวลาจำกัด และถ้าใครที่รู้ว่าเราพูดถึงใครอยู่ก็ขอความกรุณาอย่าเก็บเอาไปคิดมาก หรือเอาไปโพนทะนาต่อ เราก็ไม่อาจจะห้ามใครได้ แต่ช่วยคิดซะว่าเราขอร้องหน่อยละกัน
และถ้าใครไม่พอใจ คิดว่ามีอะไรไม่มาคุยกันต่อหน้า จะบอกว่าเราขี้ปอดก็ได้ แล้วแต่คุณเลย เพียงแต่เราขอบอกแค่ว่า เราไม่ถนัดพูด และไม่ถนัดตอกหน้าใครต่อหน้าถ้าไม่สนิทกันมานานๆ
ส่วนผู้อยู่ในเหตุการณ์หรือเก็ท ก็ขออย่าคอมเมนต์อะไรที่ทำให้พาดพิงล่วงรู้ถึงบุคคลอื่น เพราะเราไม่ได้อยากประจาน 
ส่วนใครมีปัญหาอยากติดต่อ เรารู้ว่าพวกคุณหาทางติดต่อได้อยู่แล้ว แต่ขอเป็นหลังจากนี้สัก 2-3 วัน เพราะถ้าติดต่อ โดยเฉพาะโทรมาตอนนี้ เรามีแค่โหมดโศกไม่ก็โหมดด่าแหลกเท่านั้น ตอนนี้อาจมีอารมณ์โกรธแฝง แต่เบื่อโลกมากกว่า
อันเนื่องมาจากว่าเรามีนัดไปเที่ยวค้างแรมกับคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งจริงๆแล้วก็มีเพื่อนที่ชวนเราไปแค่คนเดียวน่ะแหละ ที่เหลือน่าจะพูดได้ว่าไม่รู้จักกันเลยดีกว่า (บางคนพึ่งเคยเจอหน้ากันหนึ่งครั้ง) ก่อนไปเขาก็มีบ่นๆว่าสมาชิกในทัวร์นี้มันจะกลายเป็นกลุ่ม 2 กลุ่มย่อยๆในนั้น
จะขอเรียกกลุ่มที่เราอยู่ว่ากลุ่ม A และกลุ่มอีกกลุ่มหนึ่งว่ากลุ่ม B 
ไอ้เราก็ตอบรับไปโดยไม่คิดมาก เพราะคิดว่าว่างและถึงไม่รู้จักกันก็คงไปทำความรู้จักกันได้+เพื่อนเราคงไม่ปล่อยให้เราโหว่
แต่ความยุ่งยากก็เริ่มขึ้น เพราะเราต้องติดต่อ อ. ให้เขียน จม. แนะนำตัวให้ภายใน 7 วัน เราต้องไป ม. และไปขอ อ. ท่านหนึ่งที่เราไปทำไม่ค่อยดีกะเขาไว้ เพราะ อ. ท่านอื่นไม่มา และเขาก็ตอบรับ เราก็เลยบึ่งมาเที่ยวได้ในวันต่อมา
ตอนไปตอนแรกๆมันจะแยกเป็นสองกลุ่ม หรือตัวตนของเรามันจะบางเบา เราก็ไม่แปลกใจ คนพึ่งเจอหน้ากันมันก็ไม่แปลกหรอกถ้าจะเป็นอย่างนี้ เราก็อยู่ร่วมกับกลุ่ม A มาตลอดทาง
แต่อยู่ไปจนถึงตอนจบ กลายเป็นว่ายิ่งอยู่ๆไปตัวตนของเราก็ยิ่งเหมือนจางลงไปทุกทีๆ
ประเด็นที่ 1
กลุ่ม A บ่นว่าไม่สามารถเข้าร่วมกับกลุ่ม B ได้ โดยอ้างเหตุผลต่างๆนานา ซึ่งเราก็คิดว่ามันก็มีส่วนจริง 
แต่ เราก็เห็นว่า...
กลุ่ม Aเองล่ะที่ทำตัวแบบนั้นด้วย ? เพราะถ้ากลุ่ม B เอาแต่อยู่กับพวกตัวเอง คุยแต่เรื่องที่พวกตัวเองทำกัน กลุ่ม A ก็ไม่ได้แตกต่างกันหรอก
เพราะเราอยู่กลุ่ม A มาสามวัน กลุ่ม A มักจะพูดคุยกันแต่เรื่องในกลุ่ม เรื่องที่เข้าใจกันเอง หยอกล้อกันเอง 
แล้วงี้ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ปรับตัวเข้าหากันเลย มันจะได้รวมกันมั้ยเนี่ย?
และในสายตาเรากลุ่ม A ไม่ได้ต่างจากกลุ่ม B เลย
และอีกอย่างที่เราว่ากลุ่ม B กันท่าไว้กลายๆ ก็เพราะว่ากลุ่ม A มีเป้าหมายและค่อนข้างแสดงเป้าหมายที่ชัดเจนออกมา กลุ่ม B ที่เป็น "เป้าหมาย" จะคงจะมีความรู้สึกไม่ค่อยอยากรวมกลุ่มอยู่บ้างล่ะ
ที่ตัวตนเราบางมากๆ ก็เพราะนิสัยตรงนี้ของกลุ่ม A ขนาดเราเป็น "คนนอก" อยู่ในกลุ่มมาสามวัน เรายังไม่สามารถเข้าไปเป็น "คนใน" ได้
แต่กลุ่ม A กลับหวังให้กลุ่ม B สลายความเป็นกลุ่มเพื่อรวมตัว
มันไม่พิลึกไปหน่อยเหรอ?
ยอมรับว่าบางคนในกลุ่ม A ก็ดี มีบ้างที่มาชวนเราคุยหรืออะไร เราก็ขอขอบคุณไว้ด้วย แต่บางคนเราก็อยากให้ลองนึกนะว่าทำอะไรกะเราไว้ แล้วต่างจากที่กลุ่ม B ทำรึเปล่า? จะว่าใครมองตัวเองหน่อยก็ดีนะ
ถ้าอยากโต้ในกรณีนี้ก็เชิญนะ เราคิดว่าเราก็พยายามมองตัวเองแล้ว และเราก็พยายามเข้ากลุ่มแล้ว ไปไหนไปกัน ไม่หนีไปคนเดียว จนกระทั่งเช้าวันสุดท้ายนั่นแหละที่ทนไม่ได้แล้ว
ประเด็นที่ 2
เราเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราอยากเที่ยว และชวนเพื่อนไปด้วย แต่ถ้าคุณมีกลุ่มของตนเองชัดเจนแล้ว และไม่มีเวลาปลีกตัวมาดูแลเราล่ะก็ เรารู้สึกนะว่าอย่าชวนเราดีกว่ามั้ย? เพราะเราก็ไม่ต้องเสียความรู้สึก และเขาเองก็มีเวลาอยู่กับเพื่อนเต็มที่
เวลาที่เราเดินช้า แล้วเห็นเขาต้องพละจากเพื่อนมาเดินกับเรานี่ เราก็ไม่สบายใจนะ ก็คิดว่าถ้าเราไม่ไป เขาก็ได้ไปเดินคุยกับเพื่อนแล้ว
วันแรกเราก็ยังไม่อะไรมาก แต่พอเข้าวันที่สองเราก็เริ่มไม่สบายใจ แต่ก็ยังทำใจดีสู้ และเราก็พบว่าปริมาณการเข้าหาของเขาน้อยลง การไปเที่ยวน่ะ ถ้าเดินคนเดียวในหมู่คนมันก็ไม่สนุกหรอกนะ ตอนเราปลีกตัวไปคุยกะกลุ่ม B เขายังตอบรับตัวตนของเราดีกว่าเลย (อาจจะเป็นเพราะรู้จักกับในนั้นอยู่ 2 คน และเป็นเพศเดียวกันทั้งกลุ่ม) อย่างน้อยเราก็ไม่รู้ว่าสึกต้องอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เดินตามเขา แล้วก็ฟังเรื่องที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง
ประเด็นที่ 3 
เราก็เข้าใจว่าคุณไม่สบาย แต่นัดไม่เป็นนัดเนี่ย เราไม่ชอบนะ เราไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะกลัวว่าจะไม่ตื่นตามเวลานัด แต่คุณเลทจากเวลานัดแล้ว 2 ชม เราเลยลงไปเดินเล่นคนเดียว ชม. นึง (เพราะไม่มีใครตื่นเลย)ด้วยความรู้สึกว่าอยากคลายเครียด แต่พอขึ้นมา เราเจอคุณคุยกับเพื่อนๆตัวเองอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นเราไม่เข้ามาทัก ไม่คุย แล้วสุดท้ายก็เดินมาบอกว่าจะลงไปข้างล่างแล้ว...
คือ คุณไม่รู้สึกอะไรเลยกับเราแม้แต่น้อย?
ขอโทษถ้าทำให้รู้สึกไม่ดีกับที่เราเขียน แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ
ขอบอกเลยนะว่า ถ้าไม่สามารถทำให้เราเข้ากลุ่มได้ และเทคแคร์เราไม่ได้ ก็ไม่น่าชวนเรามาด้วยเลย มันจะทำให้เสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่ายซะเปล่าๆ
ตอนนี้มานั่งเขียนในร้านเน็ทของโรงแรม เพราะต้องการเช็คเมล์ แล้วก็พบว่า อ. เมล์มาบอกว่าเขาเขียน จม แนะนำตัวให้ไม่ได้แล้ว เพราะเราทำไมค่อยดีกับเขา แล้วเขาไม่อยากเขียนเรื่องโกหกให้เรา ตอนนี้ จม. นั้นเราต้องใช้วันพรุ่งนี้ แล้วเราจะทำยังไง?
ตอนนี้เราเครียดมากๆเลยนะ...
ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว พอก่อนละกัน ไว้ได้กลับบ้านแล้วจะมาเขียนต่อ
ในที่สุดก็กลับมาแล้วเฮ่ออออ เหนื่อย ขอเปิดประเด็นต่อเลยละกัน
ประเด็นที่ 4 
วันนี้เราได้บรรยากาศเหมือนไปถ่ายมิวสิควีดีโอ ด้วยการหลังจากรู้เรื่องจดหมายของ อ. เราก็เครียดมาก จนในที่สุดออกไปเดินร้องไห้นอกโรงแรม กลับมายังไม่สะใจ เครียดจัด โทรไปร้องโฮกระบายกับเพื่อน (ขอขอบพระคุณ
หนูภาโกะไว้ที่นี่ด้วยนะจ้ะ) อีก 59 นาทีเป๊ะๆไม่มีขาดไม่มีเกิน (จริงๆก็คือช่วงนี้เครียดหลายเรื่องด้วย ทั้งเรื่องนี้ เรื่องเอกสาร เรื่องทุนเรื่องท่านรองประธานที่โคตรช่วยงานระดับปรมัตมัน) เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยที่เรามือสั่น ขาไม่มีแรง มึนหัว เพราะเครียดจัด
แต่หลังจากนั้นพอกลับเข้าห้องบรรยากาศก็เหมือนเดิม กลุ่มA ก็ไปสุมหัวอยู่ในห้อง ปิดประตูมิดชิด แน่นอน รวมเพื่อนเราด้วย แล้วคนที่ยังอยู่ในสถานะ "คนนอก" อย่างเราจะกล้าแม้แต่เคาะประตูเข้าไปเหรอ?
และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้เลยมั้งว่าเราร้องไห้ไปโฮกแล้ว
ประเด็นที่ 5
ขอย้อนกลับไปเรื่องการคุยกันของกลุ่ม A ที่สมาชิกร้อยละ 99 เป็นผู้ชาย
เราอยากจะบอกว่าทั้งเนื้อหาและวิธีการพูด ถ้าจะให้พูดตรงๆ มันไม่เหมาะสมเป็นอย่างแรง (ขอละรายละเอียดไว้ เพื่อไม่กระทบอย่างเจาะจงต่อบุคคลใด)แต่เราก็เข้าใจว่าเป็นกลุ่มผู้ชายล่ะนะ มากันเป็นก๊งจะเป็นแบบนี้ก็ไม่แปลก แต่ที่ตะหงิดคือ...
ปกติถ้าคนเรามี "คนนอก" มาอยู่ด้วยเนี่ย ระดับความแรงของภาษาและเนื้อหาที่คุยกันน่าจะลดลง แต่นี่ไม่...
แน่นอน ทั้งๆที่เรามีสถานะที่ไม่ใช่ "คนใน" ที่ชินกับการสนทนาแบบนั้น 
มันก็น่าจะแสดงว่า เราไม่ใช่ทั้ง "คนใน" และ "คนนอก"
งั้น... เราเป็นตัวอะไร?
การดำรงอยู่ของเรามันยิ่งทียิ่งเบาบางลงเรื่อยๆราวกับไม่มีตัวตนอย่างนั้นแหละ
แล้วมันก็จะวกไปที่คำถามยอดนิยมว่า แล้วตรูมาอยู่นี่ทำไม?
ขอเพิ่มเติมนิดว่า เนื่อหาหลักที่คุยๆกันน่ะ มันไม่ได้ทำให้ "คนนอก" (เอ๊ะ ใช่รึเปล่านะ) รู้สึกดีกับพวกคุณเลย พูดตรงๆ มันเป็นนิสัยผู้หญิงมากจนเราอดคิดไม่ได้ว่ายังไงกันนี่ และอีกอย่าง เราเป็น feminist หัวรุนแรง เพราะฉะนั้นอะไรบางอย่างทีคุณๆพูดกันน่ะ มันทำให้เรารู้สึกไม่ค่อยดีกับพวกคุณนะ
ประเด็นแถม
เราไม่ได้ฟันธงว่าพวกคุณเป็นคนไม่ดี และเราก็คิดว่าพวกคุณเป็นคนไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอก เราก็แค่อยากหาทางระบาย แล้วก็รู้ว่ามีบางจังหวะที่พวกคุณแสดงออกกันเอง (และไม่ได้ตั้งใจให้มาถึงเรา) ว่าอยากคุยอยากรู้ว่าทำไมวันสุดท้ายเราเงียบหายหนีไปอยู่กับกลุ่ม B แทน แต่นี่ก็นิสัยผู้หญิงอีกน่ะแหละ หยุมหยิม ไม่ยอมมาคุย เก็บไว้ง๊องแง๊วกันเอง ขนาดตอนอยู่บนรถเริ่มรู้แล้วว่าเพราะอะไร ก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย จุดนี้ก็เหมือนกันที่ทำให้เราไม่สบายใจ ก็ในเมื่อรู้ว่าเพราะอะไร แล้วทำไมถึงไม่แก้สถานการณ์
มันกลับไปเหมือนกรณีกลุ่ม A และ B ที่พวกคุณเอาแต่มองว่าเพราะกลุ่ม B ไม่เข้ามาหารึเปล่า?
ในความเห็นเรา คนที่แย่ที่สุดมีสองประเภท คือพวกทีไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี กับ พวกที่รู้ว่าอะไรไม่ดีแต่ก็ยังทำ ล่ะนะ
พวกคุณก็อาจจะมองว่า เราก็งี่เง่าที่แก้ปัญหาด้วยการโกรธและนิ่งเฉย แต่พวกคุณลองคิดดูเองละกันว่าถ้าพวกคุณเป็นเราพวกคุณจะทำไง แน่นอนว่าพวกคุณอาจไม่ทำเหมือนเราหรอก แต่ความรู้สึกเราอาจจะคล้ายๆกัน มันเป็นความรู้สึกที่ผสมปนกันยุ่งอึดอัดไปหมด 
แล้วเราก็เป็นพวกที่เกลียดสถานะการณ์สูญญากาศแบบนี้มาก
การลงโทษทางสังคมที่โหดร้ายที่สุดก็คือการเพิกเฉยเหมือนไม่มีตัวตนแบบนี้แหละ
และสุดท้ายนี้เราอยากจะบอกว่า เวลาจะนินทาใคร ควรเช็คให้ดีนะว่าหลับจริงรึเปล่า เพราะเราไม่ได้หลับตลอดหรอก ที่เราทำเป็นหลับ นั่งหลับตาตลอดทาง หลับจริงมั่ง หลับตาเฉยๆมั่ง ก็เพราะว่ารอบตัวมันสูญญากาศไปหมด ตื่นไปก็หาบทพูดไม่เจอ หลับหูหลับตาซะดีกว่า ต้องขอบคุณเสียงเครื่องยนต์ที่ดังนะ เพราะมันช่วยให้เราจับความเรื่องที่พวกคุณพูดไม่ค่อยได้
และท้ายที่สุดจริงๆ ขอโทษทุกคนที่ทำให้ลำบากใจ และก็ขอบคุณทุกๆคนในทริปด้วย ที่ทำให้เราได้เรียนรุ้อะไรเพิ่มขึ้นอีกนิด และขอบคุณกลุ่ม B มากๆที่เป็นห่วงเรานะ
ย้ำอีกครั้ง
ส่วนผู้อยู่ในเหตุการณ์หรือเก็ท ก็ขออย่าคอมเมนต์อะไรที่ทำให้พาดพิงล่วงรู้ถึงบุคคลอื่น เพราะเราไม่ได้อยากประจาน 
ส่วนใครมีปัญหาอยากติดต่อ เรารู้ว่าพวกคุณหาทางติดต่อได้อยู่แล้ว แต่ขอเป็นหลังจากนี้สัก 2-3 วัน เพราะถ้าติดต่อ โดยเฉพาะโทรมาตอนนี้ เรามีแค่โหมดโศกไม่ก็โหมดด่าแหลกเท่านั้น ตอนนี้อาจมีอารมณ์โกรธแฝง แต่เบื่อโลกมากกว่า
ง่วงแล้ว ไว้จะมาอัพเพิ่ม (ถ้านึกออก) และรูป(ที่มีแค่ไม่กี่รูปแถมไร้สาระอีกต่างหาก) อีกที
======================================================================
ขอให้ใครคนนั้นได้มาอ่านตรงนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ยอมติดต่อมา และไม่รับการติดต่อจากเราเลย
เราไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ติดต่อและไม่รับการติดต่อจากเราเลย
ตอนแรกเราโกรธเธอนะ
เพราะว่าโกรธ ถึงได้ไม่ติดต่อไปเอง และรอคำขอโทษ
เป็นเรื่องปกติใช่มั้ยล่ะที่เราจะต้องการคำขอโทษจากเพื่อนของเราเอง
คนที่เราคิดว่าเป็น "เพื่อนสนิท"
แต่เวลาผ่านไป เธอหายเงียบไปเลย
สิ่งต่อมาที่เกิดขึ้นคือ ความโกรธมันลดลง แต่ความผิดหวังเข้ามาแทน
มีคนอื่นที่ไม่ใช่เธอมาขอโทษเรา
เราไม่ชอบ ก็เพราะเราอยากได้คำขอโทษจากเพื่อนเรานี่นา
เราหวังว่าเธอจะมาขอโทษเรา เราจะได้คุยกัน จะได้เข้าใจกันมากขึ้น
การที่เพื่อนจะไม่เข้าใจกันมันก็เป็นเรื่องธรรมดานี่นา
แต่เธอก็ยังเงียบหายไปอีก
เรารู้ว่าเราเล่นตัว ก็เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา
เพราะคิดว่าสนิทกัน ถึงได้คิดว่า เธอเองก็คงให้ความสำคัญกับเราเหมือนกัน
ต่อมา ความเสียใจมันถึงได้เข้ามาถามหาด้วย
ยิ่งติดต่อไม่ได้ ยิ่งเงียบเท่าไหร่ เราก็ยิ่งคิดมากไปเองคนเดียวมากเท่านั้น
ตกลงแล้ว มีเราคนเดียวรึเปล่า ที่นั่งนับว่ามันกี่วันแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน
มีแค่เราคนเดียวรึเปล่า ที่นั่งคิดถึงเรื่องก่อนๆและเรื่องต่อจากนี้ แล้วกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ปวดหัว ปวดท้อง
มีแค่เราคนเดียวรึเปล่า ที่นอนคิดไปคิดมาแล้วก็ร้องไห้อยู่คนเดียว
เพราะเราคิดว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทเรา เราถึงให้ความสำคัญมากถึงขนาดนี้
แล้วเธอล่ะ ที่เงียบหายไป มันเป็นเพราะอะไร?
ถ้าหากว่าความสนิทที่เรามีเป็นการคิดไปเอง ก็ช่วยมาบอกหน่อยเถอะ
เราจะได้รู้ว่าเราควรจะทำยังไงต่อไป
ตั้งแต่วันที่เรามีเรื่องกัน เรารู้สึกว่ามีแต่เราที่คิดอะไรแล้วไม่สบายใจอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า
เราได้ยินมาว่าเธอเองก็ไม่สบายใจ แต่เรากลับไม่เห็นอะไรเลยที่แสดงออกถึงตรงนั้น
และตั้งแต่ตอนที่จะมีเรื่องกันแล้ว ยิ่งคิดไปคนเดียว ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าเราเองไม่ได้สำคัญกับเธอเลย
มาจนถึงตอนนี้ เรายิ่งรู้สึกว่าเธอหลบ
โทรไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ 
เวลาที่เคยออนเอ็มก็ไม่เห็น กลายเป็นว่าเรากลัวว่าเธอจะบล๊อกเราซะแล้ว
ตกลงนี่เราคิดบ้าไปเองรึเปล่า? หรือว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ?
นี่เป็นครั้งที่สองในชีวิตที่เราร้องไห้และคิดมากเพราะเรื่องเพื่อน
ซึ่งครั้งแรกสาเหตุก็ไม่ได้ต่างจากตอนนี้เท่าไหร่เลย
แต่ในครั้งแรกนั้น เราหนี 
หนีออกจากเพื่อนของตัวเอง 
แล้วร้องไห้เหมือนคนบ้า 
ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ พร้อมกับความคิดที่ว่าจะไม่มีเพื่อนสนิทง่ายๆอีก
แต่ครั้งนี้ เราพยายามแล้วนะที่จะหาทางคุยกัน
ถ้าเราไม่หนีแล้ว อะไรมันจะเปลี่ยนไปมั้ยนะ?
...แล้ว... มันจะจริงมั้ยนะ?
หรือทุกอย่างจะจบลงอีกแล้ว...?
ถ้าเพื่อนของใครคนนั้นมาเห็น ก็ช่วยบอกต่อให้เขาหน่อยเถอะ
ว่าอย่างน้อย ก็ช่วยมาคุยกันกันรู้เรื่อง จะอยู่หรือจะไป หรือจะเอายังไง
อย่างน้อยก็สงสารคนทางนี้ที่กำลังคิดมากอยู่คนเดียวด้วยเถอะ
================================================================================
...
ก็ ถ้าเป็นอย่างนี้ เราก็ต่างฝ่ายต่างเงียบไปก่อนละกัน
เราไม่พูดอะไรมากละกัน เพราะไม่ว่าพูดอะไรก็ดูเหมือนจะกระเทือนเธอไปเสียหมด
แต่นะ ถ้าเธออยากคุยกับเราเมื่อไหร่ก็โทรมาได้เสมอ
สำหรับเราแล้ว เรายังคิดว่าเธอเป็นเพื่อนอยู่ และเราไม่เคยคิดจะตัดเธอเลย
เรื่องโกรธ เราเองก็หายโกรธตั้งนานแล้ว
...
ส่วนคุณ Insincere ก็ขอให้เลิกตามได้แล้วนะคะ
เราก็ไม่มีแรงจะคุยกับคุณแล้วล่ะค่ะ
ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง ก็เป็นสิทธิของคุณแล้ว
เราไม่ติดใจแล้วล่ะค่ะ ว่าคุณเป็นใคร เราก็หมดแรงจะตามแล้ว
ยิ่งตามคุณ เราก็เหมือนยิ่งทำร้ายตัวเองยิ่งๆขึ้นไป
เราเหนื่อยเกินไปแล้วค่ะ ขอให้เข้าใจหน่อยนะคะ
สุดท้ายนี้ ก็คงต้องขอโทษทุกๆคนที่ทำให้ลำบาก หรือเราไปรบกวน แล้วก็ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมากๆจริงๆที่เป็นห่วงนะ เราจะพยายามหายดีให้เร็วที่สุดละกัน ขอบคุณทุกๆคนจริงๆ
ส่วนคนที่ไม่เข้าใจก็ช่วยไม่ต้องใส่ใจนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
มีอะไรติดต่อได้นะคะ ทุกคน แต่เราอาจจะออนเอ็มหรือเล่นเน็ทน้อยลงนะคะ ถ้ามีอะไรฝากมาทางเมล์ หรืออยากได้เบอร์ก็ถามทางเมล์ได้ค่ะ จะพยายามตอบให้เร็วที่สุด

No comments:

Post a Comment