เหอะๆ ไม่ได้เขียนแนวนี้ซะนาน ทั้งที่ตอนแรกเริ่มบ๊อกๆเพราะอยากจะเขียนแนวนี้ลงบ๊อกๆตัวเองนี่นา หุๆ ^^"...
ปล. ค่อนข้างจะเป็นเอนทรี่ที่เกิดจากการคิด การอนุมาน และการสรุปด้วยตนเอง
วันนี้จะมาย้อนหลังวาเลนไทน์เพราะไม่ว่างมาเขียนในวันวาเลนไทน์
ทำไมต้องวาเลนไทน์?
เพราะเป็นวันหนึ่งที่แสดงออกถึงการไหลบ่าของวัฒนธรรมต่างชาติได้ดีมาก เนื่องจากแค่ตัวเทศกาลเองก็มาจากเมืองนอกแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นวันที่เปิดโอกาสให้คนไทย โดยเฉพาะสาวไทย ได้ทำอะไรที่ถูกชาวบ้านเขาด่ากัน ไม่ว่าจะเป็น เอาเงินไปซื้อของให้ผู้ชาย ไปเดทกับเพื่อนชาย จนไปถึงกระทั่งเลยเถิดมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน (ซึ่งสำหรับบางคู่อาจจะไม่ใช่ "เลยเถิด" แต่อาจจะเป็นประเด็นหลักก็ได้...)
โดยรวมๆแล้ว คนส่วนใหญ่(ที่มองว่ามันเป็นปัญหา) ก็จะโบ้ยไปว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางลบของผู้หญิงในสังคมโดยได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมต่างชาติ
ทำไมต้องวาเลนไทน์?
เพราะเป็นวันหนึ่งที่แสดงออกถึงการไหลบ่าของวัฒนธรรมต่างชาติได้ดีมาก เนื่องจากแค่ตัวเทศกาลเองก็มาจากเมืองนอกแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นวันที่เปิดโอกาสให้คนไทย โดยเฉพาะสาวไทย ได้ทำอะไรที่ถูกชาวบ้านเขาด่ากัน ไม่ว่าจะเป็น เอาเงินไปซื้อของให้ผู้ชาย ไปเดทกับเพื่อนชาย จนไปถึงกระทั่งเลยเถิดมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน (ซึ่งสำหรับบางคู่อาจจะไม่ใช่ "เลยเถิด" แต่อาจจะเป็นประเด็นหลักก็ได้...)
โดยรวมๆแล้ว คนส่วนใหญ่(ที่มองว่ามันเป็นปัญหา) ก็จะโบ้ยไปว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางลบของผู้หญิงในสังคมโดยได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมต่างชาติ
ผลกระทบจากอะไร?...
อย่างแรกเลยที่คนมองก็คือ มาจากวัฒนธรรมฝรั่ง เพราะตัววันวาเลนไทน์เองนั้นก็มาจากฝรั่งแล้ว
แต่มองกันให้ดีๆหน่อย ถ้าจะโทษแบบนั้นก็คงไม่ถูกสักเท่าไหร่ เพราะมันก็เป็นแค่เทศกาลๆหนึ่ง และถ้าคุณจะเปิดประเทศ มันก็ต้องยอมรับเรื่องแบบนี้ที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ไม่งั้นคนจีนที่อยู่กันไปทั่วโลกไม่ต้องโดนเจื๋อนกันหมดเพราะไปเปิดไชน่าทาวน์ที่เมืองนอกเหรอ?
อย่างแรกเลยที่คนมองก็คือ มาจากวัฒนธรรมฝรั่ง เพราะตัววันวาเลนไทน์เองนั้นก็มาจากฝรั่งแล้ว
แต่มองกันให้ดีๆหน่อย ถ้าจะโทษแบบนั้นก็คงไม่ถูกสักเท่าไหร่ เพราะมันก็เป็นแค่เทศกาลๆหนึ่ง และถ้าคุณจะเปิดประเทศ มันก็ต้องยอมรับเรื่องแบบนี้ที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้ว
ไม่งั้นคนจีนที่อยู่กันไปทั่วโลกไม่ต้องโดนเจื๋อนกันหมดเพราะไปเปิดไชน่าทาวน์ที่เมืองนอกเหรอ?
สิ่งต่อมาที่คนมองกันว่าทำให้เกิดปัญหาคือ การเข้ามาของวัฒนธรรมในเรื่องเพศของต่างชาติ คือ "ฟรีเซ็กส์" แถมที่โดนหางเลขไปอีกอย่างคือการ์ตูนและเกมของญี่ปุ่น
ก่อนอื่น "ฟรีเซ็กส์" มาทำความเข้าใจกันสักนิดดีไหม?
คำว่าฟรีเซ็กส์ในสายตาคนไทยไม่น้อยนั้นมีความหมายว่า "มั่ว"
แต่จริงๆแล้วไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย
Free Sex จริงๆแล้วก็แค่ว่า ฟรีที่จะมีเซ็กส์ คือ มีอิสระที่จะมีเซ็กส์ได้
อิสระนั้นย่อมต้องหมายถึงอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าลืมเรื่องสิทธิของผู้อื่น นั่นคือเราทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้(รวมไปถึงเพศสัมพันธ์) แต่ต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ผู้อื่นในที่นี่รวมถึง "สังคม" ด้วย
ฟรีเซ็กส์จึงหมายถึง การที่เราจะมีความสัมพันธ์กับใครก็ได้ แต่ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม คือไม่ทำให้สังคมเสื่อมทรามขึ้น
ฟรีเซ็กส์ของฝรั่งนั้นปกติก็แค่ หากเขาพอใจจะมีกับใครเขาก็มี แต่ไม่ได้หมายความว่าเอามันไปทั่ว เปลี่ยนมันวันเว้นวัน
ลักษณะของฟรีเซ็กส์ที่เห็นได้ชัดของฝรั่งคือ การมีคนรัก มีแฟน หรืออยู่ก่อนแต่ หากทั้งคุ่เต็มใจก็สามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้
แต่คำว่า "มั่ว" ของไทยนั้น มีความหมายว่า ลูกเขาเมียใครพี่น้องไผข้าไม่สน ตรูจะฟันซะอย่าง (ไม่ก็ ชั้นจะเอาซะอย่าง) ใครจะทำไม
ตามลักษณะจริงๆแล้ว "มั่ว" ของสังคมไทยนั้นทำให้สังคมเสื่อมทรามกว่า "ฟรีเซ็กส์"
ส่วนเกมกับการ์ตูนก็โดนหาว่าเป็นสื่อยั่วยุ ทั้งที่จริงๆมันเป็นสื่อสำหรับผู้ใหญ่ แต่คนไทยดันทะเล่อทะล่าทำให้เด็กมันดู
ก่อนอื่น "ฟรีเซ็กส์" มาทำความเข้าใจกันสักนิดดีไหม?
คำว่าฟรีเซ็กส์ในสายตาคนไทยไม่น้อยนั้นมีความหมายว่า "มั่ว"
แต่จริงๆแล้วไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย
Free Sex จริงๆแล้วก็แค่ว่า ฟรีที่จะมีเซ็กส์ คือ มีอิสระที่จะมีเซ็กส์ได้
อิสระนั้นย่อมต้องหมายถึงอยากจะทำอะไรก็ทำ แต่อย่าลืมเรื่องสิทธิของผู้อื่น นั่นคือเราทุกคนมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้(รวมไปถึงเพศสัมพันธ์) แต่ต้องไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ผู้อื่นในที่นี่รวมถึง "สังคม" ด้วย
ฟรีเซ็กส์จึงหมายถึง การที่เราจะมีความสัมพันธ์กับใครก็ได้ แต่ต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม คือไม่ทำให้สังคมเสื่อมทรามขึ้น
ฟรีเซ็กส์ของฝรั่งนั้นปกติก็แค่ หากเขาพอใจจะมีกับใครเขาก็มี แต่ไม่ได้หมายความว่าเอามันไปทั่ว เปลี่ยนมันวันเว้นวัน
ลักษณะของฟรีเซ็กส์ที่เห็นได้ชัดของฝรั่งคือ การมีคนรัก มีแฟน หรืออยู่ก่อนแต่ หากทั้งคุ่เต็มใจก็สามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้
แต่คำว่า "มั่ว" ของไทยนั้น มีความหมายว่า ลูกเขาเมียใครพี่น้องไผข้าไม่สน ตรูจะฟันซะอย่าง (ไม่ก็ ชั้นจะเอาซะอย่าง) ใครจะทำไม
ตามลักษณะจริงๆแล้ว "มั่ว" ของสังคมไทยนั้นทำให้สังคมเสื่อมทรามกว่า "ฟรีเซ็กส์"
ส่วนเกมกับการ์ตูนก็โดนหาว่าเป็นสื่อยั่วยุ ทั้งที่จริงๆมันเป็นสื่อสำหรับผู้ใหญ่ แต่คนไทยดันทะเล่อทะล่าทำให้เด็กมันดู
แต่ที่ขำแบบแย่ๆก็คือ เราโบ้ยโทษให้วัฒนธรรมที่ไหลบ่ามาจากต่างประเทศ ทั้งที่ประเทศเหล่านั้นกลับไม่มีอัตราที่น่าเหลือเชื่อแบบต้องเอาหัวมุดดินหนีอย่างบ้านเราเช่น อัตราคดีข่มขืน อัตราการติดเชื้อเอดส์ (ที่น่าดีใจจนแทบตกเก้าอี้ว่า ในประเทศเราคนกลุ่มใหญ่ที่รับเชื้อไปคือนักศึกษา หาใช่คนขายบริการไม่) อัตราการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก (ที่ของไทยเราอายุฮวบลงเรื่อยๆจนนำประเทศเจ้าของ "การ์ตูน" "เกม" และ "ฟรีเซ็กส์" ไปแล้ว)
แล้วตกลงว่า...
ถ้ามันเป็นเพราะวัฒนธรรมต่างชาติพวกนั้นจริงๆ
ทำไมประเทศเหล่านั้นมันถึงไม่เหลวแหลกเท่าประเทศเราล่ะ...?
แล้วตกลงว่า...
ถ้ามันเป็นเพราะวัฒนธรรมต่างชาติพวกนั้นจริงๆ
ทำไมประเทศเหล่านั้นมันถึงไม่เหลวแหลกเท่าประเทศเราล่ะ...?
สิ่งหนึ่งที่เราจะเสนอให้ลองมองกันใหม่ดูก็คือ
"การปลูกฝัง" ของประเทศเรา
อยากให้มองกันในมุมกว้างว่า เป็นเรื่องของประเทศชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัวแล้ว
เพราะเด็กสมัยนี้มันเปลี่ยนไปมาก และ... แย่เอามากๆในหลายกลุ่ม
"การปลูกฝัง" ของประเทศเรา
อยากให้มองกันในมุมกว้างว่า เป็นเรื่องของประเทศชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องในครอบครัวแล้ว
เพราะเด็กสมัยนี้มันเปลี่ยนไปมาก และ... แย่เอามากๆในหลายกลุ่ม
และสิ่งที่เราจะเสนอให้ลึกมากขึ้นกว่าเดิมก็คือ
การที่สังคมไทยกำลังหมุนไปในทิศทางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก
เป็นเพราะเรารับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาและเปลี่ยนประเทศไปอย่างรวดเร็ว
ความเชื่อตามแนวประชาธิปไตยเข้ามาในหัวเรา และเราก็พยายามใช้อย่างหิวกระหาย ไม่ว่าจะเวลาทำอะไรเกรียนๆแล้วอ้างสิทธิเสรีภาพ
ทั้งที่ไม่เคยมองสิทธิของผู้อื่นและหน้าที่ของตนเองเลย
คนไทยรับมาแต่สิ่งที่ยังประโยชน์ให้ตนเอง
แต่สิ่งที่ฝังอยู่ลึกๆในใจคนไทย และพัฒนาต่อไปเป็นการหล่อหลอมทางสังคมที่เอาคำว่า "ความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ" มาเป็นเครื่องมือก็คือ
"ปิตุลาธิปไตย"
คนไทยคุ้นเคยกับการที่ให้เพศชายเป็นใหญ่ และจนปัจจุบันนี้ความคิดนี้ก็ยังไม่เลือนหายไป
แต่ "ความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ" ถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างไร
การที่สังคมไทยกำลังหมุนไปในทิศทางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก
เป็นเพราะเรารับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาและเปลี่ยนประเทศไปอย่างรวดเร็ว
ความเชื่อตามแนวประชาธิปไตยเข้ามาในหัวเรา และเราก็พยายามใช้อย่างหิวกระหาย ไม่ว่าจะเวลาทำอะไรเกรียนๆแล้วอ้างสิทธิเสรีภาพ
ทั้งที่ไม่เคยมองสิทธิของผู้อื่นและหน้าที่ของตนเองเลย
คนไทยรับมาแต่สิ่งที่ยังประโยชน์ให้ตนเอง
แต่สิ่งที่ฝังอยู่ลึกๆในใจคนไทย และพัฒนาต่อไปเป็นการหล่อหลอมทางสังคมที่เอาคำว่า "ความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ" มาเป็นเครื่องมือก็คือ
"ปิตุลาธิปไตย"
คนไทยคุ้นเคยกับการที่ให้เพศชายเป็นใหญ่ และจนปัจจุบันนี้ความคิดนี้ก็ยังไม่เลือนหายไป
แต่ "ความเท่าเทียม สิทธิเสรีภาพ" ถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างไร
ปิตุลาธิปไตย หรือการปกครองโดยเพศชายเป็นใหญ่นั้น ได้กลายมาเป็นพื้นฐานความคิดที่ซ่อนอยู่ในสังคมไทย
และได้สร้างค่านิยมที่อิงประโยชน์และความเป็นใหญ่ให้เพศชาย
และได้สร้างค่านิยมที่อิงประโยชน์และความเป็นใหญ่ให้เพศชาย
เรากำลังจะบอกว่า
การที่บทบาทของเพศหญิงเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวที่ดูแล้วอุจาด การมีกิ๊ก การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และการ "มั่ว" ของเพศหญิงนั้น
เป็นแค่การที่เพศหญิงเป็นเหยื่อของค่านิยมของไทยที่มีแนวคิดลึกๆว่า
"เพศหญิงจะมีค่าต่อเมื่อได้รับความสนใจจากเพศชาย"
การประเมินค่าในตัวของเพศหญิงนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเพศหญิงเอง
แต่กลับไปเกี่ยวพันกับเพศชาย
การที่บทบาทของเพศหญิงเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวที่ดูแล้วอุจาด การมีกิ๊ก การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร และการ "มั่ว" ของเพศหญิงนั้น
เป็นแค่การที่เพศหญิงเป็นเหยื่อของค่านิยมของไทยที่มีแนวคิดลึกๆว่า
"เพศหญิงจะมีค่าต่อเมื่อได้รับความสนใจจากเพศชาย"
การประเมินค่าในตัวของเพศหญิงนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวเพศหญิงเอง
แต่กลับไปเกี่ยวพันกับเพศชาย
ไม่ว่าจะเป็นพวกแต่งตัวแบบที่ไม่ค่อยจะถูกใจแม่เท่าไหร่
เรายอมรับนะว่าบางคนแต่งเพราะมีความคิดลึกๆจากตัวเองจริงๆว่าชอบแบบนั้น แต่งแล้วสวย
แต่จำนวนไม่น้อยหรอกที่แต่งเพราะคิดว่าสวย เพราะว่ามีผู้ชายมองตัวเองเยอะ
แต่งเพราะวัดค่าความสวยของตัวเองจากจำนวนผู้ชายที่เข้ามาติดพัน
เรายอมรับนะว่าบางคนแต่งเพราะมีความคิดลึกๆจากตัวเองจริงๆว่าชอบแบบนั้น แต่งแล้วสวย
แต่จำนวนไม่น้อยหรอกที่แต่งเพราะคิดว่าสวย เพราะว่ามีผู้ชายมองตัวเองเยอะ
แต่งเพราะวัดค่าความสวยของตัวเองจากจำนวนผู้ชายที่เข้ามาติดพัน
และมันก็ลามต่อไปถึงเรื่องเพศที่
ทำไมถึง "มั่ว"
เพราะผู้หญิงที่มั่วนั้นไปให้ค่าของตนเองติดกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
มองว่าเมื่อตนเองได้นอนกับผู้ชายๆมากๆแล้ว ตนเองจะดูดี ดู "มีค่า" ขึ้นมา
(แหม๊ จนถึงขึ้นมีการนอนเก็บแต้ม เรียกว่ามีค่าดีมั้ยล่ะ?)
ทำไมถึง "มั่ว"
เพราะผู้หญิงที่มั่วนั้นไปให้ค่าของตนเองติดกับการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย
มองว่าเมื่อตนเองได้นอนกับผู้ชายๆมากๆแล้ว ตนเองจะดูดี ดู "มีค่า" ขึ้นมา
(แหม๊ จนถึงขึ้นมีการนอนเก็บแต้ม เรียกว่ามีค่าดีมั้ยล่ะ?)
เรื่องของการมีกิ๊กก็เช่นกัน
ก็แค่เกิดความเชื่อลึกๆมาในหมู่ผู้หญิงว่า ชั้นจะมีค่า มีเสน่ห์ก็เพราะมีผู้ชายมาติดพันมาก
แน่นอนว่าไม่ได้เกี่ยวกับความรักหรอกนะ กิ๊กเกิ๊กเนี่ย
ก็แค่เกิดความเชื่อลึกๆมาในหมู่ผู้หญิงว่า ชั้นจะมีค่า มีเสน่ห์ก็เพราะมีผู้ชายมาติดพันมาก
แน่นอนว่าไม่ได้เกี่ยวกับความรักหรอกนะ กิ๊กเกิ๊กเนี่ย
ทำไมผู้หญิงถึงเป็นเหยื่อ...?
คำตอบง่ายๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคน แต่เราก็ยอมรับกันอยู่แล้วว่า
เรื่องเจ้าชู้ เรื่องฟันได้ก็ฟัน เป็นสัญชาตญาณโดยปกติของเพศผู้อยู่แล้ว
แม้แต่โครงสร้างทางร่างกาย เพศชายก็ถูกสร้างมาเพื่อเจริญพันธุ์ และมีคู่มากกว่าหนึ่งเพื่อสืบวงศ์ต่อไป
แถมในสังคมไทย การที่ผู้ชายเจ้าชู้ หรือมีประสบการณ์ทางเพศก่อนแต่งงาน ก็ดันเป็นเรื่องธรรมดาอีกต่างหาก
ในเมื่อผู้ชายมีความต้องการที่จะ "ได้" เพศหญิงอยู่แล้ว
พอเพศหญิงดันคิดอีกว่า ชั้นจะมีค่าได้ก็ต่อเมื่อได้กระทำเรื่องที่เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศกับผู้ชายแล้ว
ผู้ชายไม่สบายหรอกหรือ?
คำตอบง่ายๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคน แต่เราก็ยอมรับกันอยู่แล้วว่า
เรื่องเจ้าชู้ เรื่องฟันได้ก็ฟัน เป็นสัญชาตญาณโดยปกติของเพศผู้อยู่แล้ว
แม้แต่โครงสร้างทางร่างกาย เพศชายก็ถูกสร้างมาเพื่อเจริญพันธุ์ และมีคู่มากกว่าหนึ่งเพื่อสืบวงศ์ต่อไป
แถมในสังคมไทย การที่ผู้ชายเจ้าชู้ หรือมีประสบการณ์ทางเพศก่อนแต่งงาน ก็ดันเป็นเรื่องธรรมดาอีกต่างหาก
ในเมื่อผู้ชายมีความต้องการที่จะ "ได้" เพศหญิงอยู่แล้ว
พอเพศหญิงดันคิดอีกว่า ชั้นจะมีค่าได้ก็ต่อเมื่อได้กระทำเรื่องที่เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศกับผู้ชายแล้ว
ผู้ชายไม่สบายหรอกหรือ?
สรุป
ถ้าหากว่ามีใครอยากจะเถียงก็รับฟังอย่างเต็มที่ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าคนอื่น โดยเฉพาะสาวๆที่ทำตัวแบบอย่างข้างบนเนี่ยคิดกันไงบ้าง
แต่อยากให้ลองคิดกันดีๆว่า เพราะถ้าหากคนเราเอาค่าของตัวเองไปผูกกับการศึกษา คนนั้นก็จะบ้าเรียน ถ้าเอาไปผูกกับเกมออนไลน์ก็อาจจะกลายเป็นเกรียน หรือถ้าเอาไปผูกกับความดี เราก็จะเป็นคนดี
เพราะฉะนั้นเวลาเราตีค่าตัวเองเนี่ย เราเคยคิดบ้างมั้ยว่าทำไมเราต้องแรด ทำไมเราต้องนอนกับผู้ชายเยอะๆ เป็นเพราะเราเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกกับเรื่องพวกนั้นรึเปล่า?
ถ้าหากว่ามีใครอยากจะเถียงก็รับฟังอย่างเต็มที่ เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าคนอื่น โดยเฉพาะสาวๆที่ทำตัวแบบอย่างข้างบนเนี่ยคิดกันไงบ้าง
แต่อยากให้ลองคิดกันดีๆว่า เพราะถ้าหากคนเราเอาค่าของตัวเองไปผูกกับการศึกษา คนนั้นก็จะบ้าเรียน ถ้าเอาไปผูกกับเกมออนไลน์ก็อาจจะกลายเป็นเกรียน หรือถ้าเอาไปผูกกับความดี เราก็จะเป็นคนดี
เพราะฉะนั้นเวลาเราตีค่าตัวเองเนี่ย เราเคยคิดบ้างมั้ยว่าทำไมเราต้องแรด ทำไมเราต้องนอนกับผู้ชายเยอะๆ เป็นเพราะเราเอาคุณค่าของตัวเองไปผูกกับเรื่องพวกนั้นรึเปล่า?
ท้ายสุดขอแถลงความเห็นว่า การคิดว่าการเอาตัวเองไปคลุกกับเรื่องเหล่านั้นทำเพื่อความสนุกอย่างเดียวแล้วล่ะก็... ขอบอกว่า
โสเภณีเขายังเอาเงินเพื้อเลี้ยงชีพ
สัตว์เขายังทำเพื่อสืบพันธุ์
แล้วพวกที่ทำไปเพื่อแค่สนองตัณหาตัวเองล่ะ
จะเรียกว่าเป็นพวกอะไรดี...?
โสเภณีเขายังเอาเงินเพื้อเลี้ยงชีพ
สัตว์เขายังทำเพื่อสืบพันธุ์
แล้วพวกที่ทำไปเพื่อแค่สนองตัณหาตัวเองล่ะ
จะเรียกว่าเป็นพวกอะไรดี...?
สุดท้ายนี้...
ทำไมถึงเขียนเอนทรี่นี้ขึ้นมา?
แค่อยากให้ทุกคนหรือใครสักคนรู้สึกขึ้นมาว่า สังคมที่เท่าเทียมตอนนี้มันไม่ได้เท่าเทียมจริงๆ และอยากให้ปรับตัวปรับความคิดเพื่อสังคมที่เท่าเทียมกันโดยแท้
ถ้าผู้หญิงมีค่าเพราะผู้ชาย แล้วจะเรียกว่าเท่าเทียมกันได้อย่างไร?
สังคมไทยที่มันแย่แบบนี้ มันอาจจะเป็นปัญหาที่เราทุกคนต้องช่วยกัน มากกว่าที่จะไปโทศแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง...
ทำไมถึงเขียนเอนทรี่นี้ขึ้นมา?
แค่อยากให้ทุกคนหรือใครสักคนรู้สึกขึ้นมาว่า สังคมที่เท่าเทียมตอนนี้มันไม่ได้เท่าเทียมจริงๆ และอยากให้ปรับตัวปรับความคิดเพื่อสังคมที่เท่าเทียมกันโดยแท้
ถ้าผู้หญิงมีค่าเพราะผู้ชาย แล้วจะเรียกว่าเท่าเทียมกันได้อย่างไร?
สังคมไทยที่มันแย่แบบนี้ มันอาจจะเป็นปัญหาที่เราทุกคนต้องช่วยกัน มากกว่าที่จะไปโทศแค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง...
ปล. ละครไทยก็มีส่วนในการสร้างสังคมแบบนี้ เพราะทุกนางในเรื่องแย่งผู้ชายกัน ทำให้มองว่าการได้ผู้ชายมาคือความสำเร็จ ทำให้ตนเองมีค่า มีเรื่องขำแบบเศร้าๆอีกเรื่องก็คือ ละครเรื่องหนึ่งตอนนี้มีมุมมองแปลกๆว่า ถ้าเป็นแม่นางเอก ถึงจะเป็นเมียน้อยชาวบ้านเขาก็ไม่ผิด แถมยังดีกว่าเมียหลวงอีกต่างหาก แสดงให้เห็นว่าค่านิยมที่ว่าผู้หญิงจะเป็นลำดับที่เท่าไหร่ไม่สำคัญ ขอเพียงแย่งผู้ชายได้ก็พองั้นเรอะ!?
ปล2. ไม่เกี่ยวกัน แต่ใครที่สนใจประเด็นสุวรรณภูมิอยากให้ลองดูกระทู้นี้http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E5125165/E5125165.html
แล้วคุณจะเริ่มสงสัยว่า... ตอนนี้สนามบินกำลังมีปัญหา หรือเรากำลังเผาบ้านเพื่อไล่หนูรึเปล่า...?
ถึงยาวก็อยากให้ลองอ่านกันหน่อยนะ ฟังความสองข้างก็ยังดี เพราะสื่อประเทศเรานี่มันเอนไปตามรัฐบาลทุกยุคอยู่แล้ว
ปล2. ไม่เกี่ยวกัน แต่ใครที่สนใจประเด็นสุวรรณภูมิอยากให้ลองดูกระทู้นี้http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E5125165/E5125165.html
แล้วคุณจะเริ่มสงสัยว่า... ตอนนี้สนามบินกำลังมีปัญหา หรือเรากำลังเผาบ้านเพื่อไล่หนูรึเปล่า...?
ถึงยาวก็อยากให้ลองอ่านกันหน่อยนะ ฟังความสองข้างก็ยังดี เพราะสื่อประเทศเรานี่มันเอนไปตามรัฐบาลทุกยุคอยู่แล้ว
No comments:
Post a Comment