เมื่อวานไปเจอมาอีกแล้ว คราวนี้เป็นในหนังสือพิมพ์ โดยเป็นหัวข้อที่พูดถึง "ปัญหาโอตาคุ" ที่เกิดขึ้น โดยรูปประกอบบทความนั้นมาจากต่างประเทศทั้งสิ้น เนื่องจากนั่งพอเพื่อนที่มาช้าอยู่ ก็เลยคว้าเอาหนังสือพิมพ์ในร้านอาหารมานั่งอ่าน...
เนื้อความโดยรวมพูดถึงลักษณะของโอตาคุ และมีการวิเคราะห์เหตุว่าทำไมเด็กสมัยใหม่จึงเป็นโอตาคุ รวมไปถึงมีการสัมภาษณ์ผู้ปกครองของเด็กในด้านการดูแลเด็ก
ยอมรับว่าเนื้อความนั้นดีกว่าที่บางรายการทำมา เพราะอย่างน้อยเนื้อหาก็สร้างสรรค์กว่า พูดในด้านการป้องกันดูแลลูก และมีย่อหน้าเล็กๆที่กล่าวอ้างอิงมาจากญี่ปุ่นว่า "โอตาคุไม่ใช่กลุ่มที่ก่อคดี" (แต่ไม่รู้ว่าคนอ่านจะสนใจข้อความนี้กันรึเปล่านะ)
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อมูลที่เราเห็นว่าไม่ถูกซะทีเดียว เช่น ลักษณะบางประการของโอตาคุ ว่าต้อง ผอมรึไม่ก็อ้วนกว่าปกติ ต้องสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์อะไรประมาณนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เอาซะเลย
คนจะชอบอะไรจำเป็นต้องมีสภาพภายนอกเป็นอย่างโน้นนี่ด้วยหรือ
แต่ที่อยากจะบ่นวันนี้ก็คือ เมื่อได้อ่านบทความนี้แล้ว เราก็รู้สึกขึ้นมาว่า "เฮ้ย การเป็นโอตาคุมันเป็นปัญหาสังคมขนาดนั้นเลยเหรอ?"
ปัญหาที่บทความนี้กล่าวไว้ก็คือเรื่องการเข้าสังคมของเด็ก และการปิดตัวอยู่แต่ในโลกของจินตนาการ รวมไปถึงการเอาแต่สุงสิงอยู่กับเน็ท อยู่กับคอมเพื่อติดต่อสัมพันธ์กับพวกเดียวกันเท่านั้น
เห็นด้วยนะ ในด้านพวกนี้ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ทั้งหมดซะหน่อย
ยอมรับค่ะว่ามีเด็ก(และที่ไม่เด็ก)ที่เป็นโอตาคุแล้วมีปัญหาพวกนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนซะหน่อย เราจึงไม่เห็นว่าสมควรเอาคนกลุ่มหนึ่งมากล่าวโทษคนส่วนใหญ่ (เหมือนที่รายการหนึ่งเคยทำ)
การเป็นโอตาคุสร้างปัญหาสังคมจริงๆหรือ?
เราเคยมีเพื่อนที่มีอาการ"สร้างปัญหาให้สังคม"จริงๆ โดยมีอาการ ไม่รับสังคมโลกแห่งความจริงรอบข้าง สนใจแต่เน็ท อยากสร้างชื่อเสียงในสังคมอินเตอร์เน็ทโดยไม่เลือกวิธีการ หน้าไหว้หลังหลอก ซึ่งเราก็ค้นพบว่ามีคนที่มีแน้วโน้มเป็นแบบนี้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่คนคนนี้คนเดียว
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็มีเพื่อนและคนที่ไม่ใช่เพื่อนแต่ได้รับรู้เรื่องของเขามา พวกเขาก็สามารถมีความสุขในชีวิตปกติได้ มีเพื่อนที่ที่ทำงาน ที่มหาวิทยาลัย ที่โรงเรียน พูดคุยเรื่องต่างๆได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแค่เรื่องการ์ตูนหรือเกม บางคนอ่านหนังสือเยอะและมีความรู้รอบตัวมาก บางคนวิจารณ์การเมืองไฟแล่บ
ถ้าอย่างนั้นการเป็นโอตาคุสร้างปัญหาสังคมจริงๆหรือ? ในเมื่อมีคนจำนวนไม่น้อยที่เราเจอ เรียกได้ว่า "เป็นกำลังในการขับเคลื่อนประเทศชาติ" ได้
นอกจากนี้อีกอย่างที่เรามองก็คือกลุ่มคนที่การติดต่อกับผู้อื่นแย่ลง และใช้ชีวิตในเน็ทมากขึ้นไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่กลุ่มโอตาคุ แต่กระจายไปในหลายๆกลุ่มโดยเฉพาะเยาวชนและเด็ก(และเกรียน)
ถ้าอย่างนั้นแล้ว ปัญหาอยู่ที่การ์ตูนและเกมจริงหรือไม่ ในเมื่อกลุ่มที่มีปัญหาไม่ใช่แค่กลุ่มที่เล่นเกมและอ่านการ์ตูน
เราจึงมองย้อนไปว่าทำไมเด็กและเยาวชนสมัยนี้มันแย่ขึ้น ประกอบกับมองไปในบทความนั้นเอง เราก็เหมือนจะหาคำตอบได้ขึ้นมา
ถ้าเด็กสองคนได้รับสื่อเหมือนกัน แต่อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ต่างกัน แล้วนิสัยออกมาต่างกันล่ะก็
สาเหตุก็น่าจะมาจากสภาพแวดล้อม... "การอบรมดูแลเอาใจใส่" นั่นเอง
เมื่อมาคิดถึงเหตุนี้ เราก็มองไปยังเพื่อนๆเรา เราก็เริ่มเห็นว่าจะจริง เพราะเจ้าตัวปัญหาที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้มีปัญหาในด้านขาดความอบอุ่นจากครอบครัวจริงๆ ในขณะที่เพื่อนเราคนอื่นที่มาจากครอบครัวปกติก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
และ "ครอบครัว" นั้นก็ไม่ได้หมายถึงพ่อแม่เพียงอย่างเดียว และไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ด้วยกันเสมอๆด้วย
รูปแบบของครอบครัวในแต่ละบ้านอาจจะแตกต่างกันออกไป
แต่ขอให้มีความรัก การอบรมดูและ เอาใจใส่กัน
ถ้าคนที่เป็นโอตาคุบางคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และบางคนเป็นปัญหาของสังคมแล้วล่ะก็
เราก็ไม่น่าจะพูดว่า "การเป็นโอตาคุสร้างปัญหาสังคม"
แต่เราน่าจะพูดว่า "การเลี้ยงดูบุตรอย่างไม่เหมาะสม สร้างปัญหาให้สังคมมากว่า"
เราน่าจะ "เลิกปัดสวะให้พ้นตัว" "เลิกมองว่าข้าถูก แล้วสิ่งแวดล้อมผิดได้แล้ว"
"เลิกโทษว่า ชั้นดี ลูกชั้นดี ชั้นเลี้ยงลูกดี แต่สังคมทำมันเลว"
"คนจะดีชั่ว มันก็อยู่ที่ตัวเรา เลิกโทษสิ่งที่มันเถียงกลับไม่ได้ซะทีเถอะ"
อย่างน้อยที่สุด ถ้าคุณเดินเตะถัง คุณก็น่าจะโทษตัวเองที่เดินไม่ดู หรือโทษคนที่เอาถังมาวาง
ไม่ใช่โทษถัง
เราเข้าใจว่าปัญหาที่เกิดต่อสังคมที่กล่าวอ้างในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นคือ การได้บุคคลากรที่ไม่มีคุณภาพของสังคม
แต่เราก็ชี้แจงไปแล้วว่าการเป็นโอตาคุไม่ได้ทำให้คนคนนั้นต้องเป็นบุคคลากรที่ไม่มีคุณภาพไปด้วย
นอกจากนี้หากการที่ฝักใฝ่คลั่งใคล้ในสิ่งใดมากๆทำให้คนคนหนึ่งไร้สมรรถภาพ ถ้าเช่นนั้นทำไมไม่รวมไปถึงพวกบ้าดารา บ้านักร้อง บ้าหนังบ้าสะสมของ บ้าศาสนา บ้าการเมืองไปด้วยเลยเล่า
การมีรสนิยมชมชอบสิ่งใดๆไม่น่าจะเป็นความผิดไม่ใช่หรือ ตราบใดที่เรายังไม่ได้เอามีดไปไล่แทงใคร ยังไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
แต่ทำไมการที่เรานิยมฝักใฝ่ในการ์ตูนกลับทำให้เราถูกสังคมมองว่าเป็นบุคคลไร้คุณภาพ?
ถ้าเรารวยเรากินข้าวแกงไม่ได้หรือ?
ถ้าเราสวยเราไม่ต้องแต่งหน้าไม่ได้หรือ?
ถ้าเราฉลาด มีวุฒิภาวะ เราอ่านการ์ตูนไม่ได้หรือ?
สังคมนี้เป็นประชาธิปไตยจริงๆหรือ?
ในเมื่อการเป็นโอตาคุของเราไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้สังคม ทำไมเราถึงต้องรับการลงโทษทางสังคมด้วย?
ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบสักนิด
ให้เราๆเป็นเด็กชาวเอเชียเตี้ยม่อต้อ
และให้การ์ตูน เกม เป็นเหมือนนม
อย่างที่รู้ๆกันว่าคนเอเชียนั้นมักไม่สามารถย่อยสารที่มีอยู่ในนมได้ และเมื่อดื่มเข้าไปก็อาจทำให้ท้องเสีย
แต่ในนมนั้นก็มีแคลเซียมที่ทำให้จากเตี้ยๆนี่สูงขึ้นได้
คุณจะเลือกหาทางให้เด็กคนหนึ่งกินนมได้อย่างปลอดภัยแล้วสูงขึ้นๆ หรือคุณจะเลือกเขวี้ยงนมทิ้งไปล่ะ
คุณอาจจะบอกว่าหาแคลเซียมจากที่อื่นมาให้เด็กกินก็ได้
แต่ถ้าเด็กชอบกินนม
ทำไมคุณไม่หาทางที่ทำให้เขาสามารถดื่มในสิ่งที่เขารักและให้เขาได้ประโยชน์ไปพร้อมๆกันล่ะ
หรือคุณจะเลือกเขวี้ยงนมทิ้งให้เขาเสียใจ และหาอย่างอื่นที่เขาไม่ชอบยัดให้เขาแทน
แม้จะได้ประโยชน์เหมือนกัน หรือต่างกันบ้าง แต่คุณคิดถึงจิตใจของเขาบ้างไหม
แล้วเด็กจะโตขึ้นอย่างเพียบพร้อมทั้งทางร่างการ มันสมอง และ"จิตใจ" ได้อย่างไร
ในเมื่อความรู้สึกของเขาถูกย่ำยีและตีตราโดยคนที่อยู่"สูง"กว่าเขา
ขอฝากค่ะ
อย่าโทษสิ่งอื่นก่อนมองตัวเอง
อย่าโทษปลายเหตุมองต้นเหตุแล้วหาทางแก้ที่ต้นเหตุบ้าง
อย่าโทษว่าเด็กเลว มองผู้ใหญ่บ้างว่าเคยทำตัวเป็นผู้ใหญ่ที่ดีบ้างมั้ย
อย่าโทษว่าเกมและการ์ตูนไม่ดี ลองมองให้เห็นถึงแก่น และมองหน้าเด็กให้ดีๆก่อนด้วย
อย่ามองว่า "การเป็นโอตาคุสร้างปัญหาสังคม" แต่ช่วยมองว่า "การเลี้ยงเด็กไม่ดีจนเด็กกลายเป็นโอตาคุที่ไม่ดีเป็นการสร้างปัญหาสังคม"
และ อย่ามองว่า "ความแตกต่าง" เป็นความผิด "รสนิยม" เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่มีใครผิดใครถูก
โอตาคุชอบการ์ตูนและเกมไม่ต่างไปจาก คนที่ชอบดารา บ้านักร้อง ผุ้ใหญ่ชอบเที่ยวคาเฟ่ คนชอบเที่ยวต่างประเทศมากกว่าในประเทศ หรือคนชอบกินอาหารญี่ปุ่นมากกว่าอาหารไทย
เราแค่ชอบการ์ตูน เกม และเลือกที่จะใช้จ่าย พูดคุยถึงเรื่องเหล่านั้น ไม่ได้ต่างอะไรจากคนที่เลือกจะใช้เงินไปกับเรื่องที่ตนเองชอบเรื่องอื่นๆ หรือเลือกที่จะคบเพื่อนที่มีรสนิยมเดียวกัน
ไม่ใช่เพราะคนเราชอบ "เหยียดความแตกต่าง" หรอกหรือ จึงทำให้เกิดปัญหาต่างๆมากมายทั่วโลกเช่นปัจจุบันนี้
...เลิกกันซะทีได้มั้ย?...
No comments:
Post a Comment