Friday, April 10, 2015

[Tourabu] Touken Ranbu Fanfiction - Mikazuki munechika x Saniwa ; After Valentine Fic

ตอนต่อของฉากจบคุณปู่ จากเกมฟิควันวาเลนไทน์จ้า
ตอนแรกลงในเฟส 
แต่ไปๆ มาๆ เขียนฟิคชักเยอะ เลยเอามารวมกันในบล๊อก (ที่ค้างเติ่งดองเค็ม) ดีกว่า XDDD

เกมวาเลนไทน์นะจ้ะ 

ฟิคนี้ตั้งใจว่าจะเขียนแบบไม่ใช้คำที่ชัดเจน
อารมณ์ประมาณบทอัศจรรย์ในวรรณคดีสมัยก่อน
ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เพราะปกติแต่งหื่นก็หื่นเลย ฮาาาา
งานนี้เนื่องจากป่วยดาบเป็นเรื่องเก่า เลยใช้ภาษาเวอร์ๆ เก่าๆ หน่อยได้
ซึ่งก็ไม่ได้เขียนแนวนี้มานาน เลยรู้สึกสนุกดีเหมือนกัน
แต่ก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะต้องมาคิดว่า คำไหนที่ให้ใช้ได้ คำไหนที่ใช้ไม่ได้
อีกอย่างนึงที่ตอนเขียนฟิควาเลนไทน์รู้สึกสนุกมาก
คือ การที่ปู่เป็นจันทร์เสี้ยว แล้วพระจันทร์เป็นสัญลักษณ์ที่ชอบ แถมเอามาเล่นได้เยอะอีกต่างหาก

เอาเป็นว่า ถ้าคนอ่านรู้สึกสนุก 
และรู้สึกว่ามันหื่น(?) ก็ถือว่าประสบความสำเร็จจ้าาาาา

ปล. ระหว่างแต่งฟิคมีแต่เสียงจูบเย้ยจันทร์ดังก้องตลอดในหัว ......
ปปล. แต่งเสร็จแล้วรู้สึกบทอัศจรรย์ไม่พอ ฮาาา แต่ตอนนี้หมดหมองละ ถ้ามีหมองอีก อาจจะมีต่อภาคพิเศษอีก 
//จะต่อของต่อของต่อไปถึงไหน???

[FIc] [Touken Ranbu] Mikazuki munechika x Saniwa ; After Valentine Fic

ขนมของญี่ปุ่นในสมัยก่อนมักมีรสหวานแหลม
แต่นั่นก็เพื่อทานพร้อมกับชาที่มีรสเฝื่อนขม
โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ก็มักจะหาสิ่งที่เข้าคู่สอดคล้องขัดแย้งกันอยู่เสมอ
และโลกของธรรมชาติก็เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นกลางวันกับกลางคืน แสงสว่างกับความมืด บุรุษกับสตรี น้ำกับไฟ หรือแม้แต่ตะวันกับจันทรา
หากแต่วันนี้จันทราดูแปลกไป
แสงอาทิตย์ยังคงสาดส่องเป็นสีส้มละมุนแทรกตัวผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่น 
ลำแสงพาดให้เห็นลวดลายสานของเสื่อทาทามิ ไล้โลมมาจนถึงกลางห้องที่ฉันอยู่
แต่แสงอาทิตย์กลับไม่ได้ฉายมาที่ฉัน เพราะเบื้องหน้าระยะประชิดมีจันทร์เสี้ยวสองดวงส่องประกายวามวับอยู่


จันทราที่เป็นสัญลักษณ์ของความเยือกเย็น มนต์สะกด และความขาดสติ

คำพูดที่อยากจะเอื้อนเอ่ยถูกดูดกลืนไปพร้อมกับอิสระที่ถูกช่วงชิง
เหลือไว้เพียงเสียงแข็งขืนจากลำคอระหงส์และถูกหลอมให้โอนอ่อนในชั่ววินาที
แม้นยามเย็นยังไม่คืบคลาน แต่จันทรากลับรุกคืบเข้าใกล้อย่างมิหวั่นเกรง
เมื่อจันทราทั้งสองสะท้อนแววเข้ามาครอบงำดวงตาของฉัน ฉันจึงทำได้เพียงแต่ค่อยปิดตาลง
รสหวานและรสเฝื่อนขมหลอมรวมประสานเป็นหนึ่งแล้วค่อยเลือนหายไป เหลือเพียงรสมายาของความลุ่มหลงลามเลียคลุกเคล้าอยู่ภายในนั้น
พันธนาการที่ห่อหุ้มลำแขนบางค่อยลูบไล้เลื่อนไปยังร่างไล่ไปจนถึงแผ่นหลัง
แม้จันทร์จะเป็นเครื่องหมายแห่งสตรี และชายตรงหน้าจะมีความงามเกินหญิงใดๆ 
แต่ไออุ่นที่แผ่ซาบส่งผ่านมาช่วยเน้นย้ำให้เข้าใจได้ว่าเขาคือบุรุษเพศ
แรงหนึ่งถ่ายมาให้กายทอดลง ส่วนอีกมือหนึ่งประคองหลังให้ฉันโน้มลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล
เสียงผ้าเสียดสีกับเสื่อแผ่วเบาแต่ดังก้องราวกับเป็นเสียงเดียวที่ตัดแหวกเสียงที่สอดประสานของเราสอง
ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงจันทร์ยังคงสาดส่องลงมาพร้อมรอยยั่วยิ้ม ฉันขมวดคิ้วตอบนัยน์ตาที่เย้าแหย่นั้น
"ท่านซานิวะ"
เสียงนุ่มเย็นนิ่งเรียบเอ่ยเรียกขานตัวฉันขึ้น หากแต่กลับมีความรุ่มร้อนแฝงอยู่
เสียงนั้นเมื่อลอดผ่านโสตประสาทเข้าสู่ในร่างของฉัน ก็แปรเปลี่ยนเป็นมนต์ตราสาปให้ฉันตกอยู่ในเพลิงผลาญเช่นเดียวกับเขา
"มิคะสึกิซัง ..."
น้ำเสียงหวานเพราะต้องมนต์ปะปนมากับเสียงลมหายใจหนักหน่วง ส่งให้แววตาแฝงดวงจันทร์ยิ่งหยอกเย้า
"ท่านซานิวะ ... นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของท่านหากท่านจะปฏิเสธ"
มิคะสึกิเอ่ยปากขึ้นด้วยเพียงเบาๆ แต่ทุกคำที่เขาเอ่ยไม่ต่างจากสลักเสลาลงในร่างของฉัน
มุมปากของเขาเผยอขยับเป็นรอยยิ้มงามรูปจันทร์เสี้ยว 
ปลายนิ้วหนึ่งของเขาไล้มาจรดที่ริมฝีปากของฉัน พลางพูดต่อไปพร้อมกับวาดนิ้วไปมาอย่างเชื่องช้า
"ท่านจะปฏิเสธข้าหรือไม่?"
ฉันมองสบตาเขา 
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มราวกับท้องฝ้ายามราตรีกาลดูเยือกเย็น
หากประดับแต่งด้วยดวงเดือนโค้งเรียวปลาบที่ฉายแสงแห่งมนต์สะกดล่อหลอกให้หลงไหล 
... เสียจนไร้สิ้นสติจะขวางขืน ...

ฉันผ่อนลมหายใจแรงสองสามครั้ง เบือนสายตาหลบหลีกจากความปรารถนาที่ทอดผ่านแววตามุ่งตรงมาที่ฉัน
"มิคะสึกิซังคะ ..."
ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากชายที่อยู่ด้านบนตัวของฉัน 
แท้จริงแล้วเขาคงล่วงรู้ถึงคำตอบผ่านความร้อนจากร่างกายและลมหายใจของฉันแล้ว
แต่มิคะสึกิเพียงนิ่งเงียบ มองดูฉันด้วยรอยยิ้มอย่างผู้ชนะ
เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย เพราะเหมือนกับฉันเป็นผู้แพ้ และตกเป็นเหยื่อของเขา
ด้วยความรู้สึกอยากจะเอาคืนให้ตกใจบ้าง ฉันจึงหันกลับไปจ้องดวงตาคู่นั้นตรงๆ 
เมื่อทีท่าเปลี่ยนไป มิคะสึกิมีความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย แต่เขาก็รีบกลบซ่อนมันอย่างทันที
"ว่าอย่างไรล่ะ? ท่านซานิวะ"
"ถึงท่านจะเป็นดาบ แถมยังนิสัยเสีย แต่ข้าก็ชอบท่านนะคะ"
คำสารภาพรักตรงๆ ที่ออกมาจากปากราวกับผิดเวล่ำเวลา ทำให้มิคะสึกิอึ้งไปนิดหนึ่ง
ดวงตาของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย ให้พระจันทร์สะท้อนแสงกับอาทิตย์ที่ยังคงเด่นอยู่บนฟ้านอกห้อง
แล้วเขาก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงใส
"ท่านทำให้ข้าตกใจได้จริง ท่านซานิวะ"
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าเป็นรอยยิ้มสดชื่นเช่นเวลาปกติของเขา
เพียงชั่ววูบเท่านั้น แล้วร่างของเขาก็โน้มลงมา ริมฝีบางแนบที่ใบหู เสียงหัวเราะจางหายไป 
กลายเป็นเสียงของชายหนุ่มปนมากับไอของความร้อนรุ่มรุกรานเข้ามา
"แต่ข้าคิดว่า ... มันคงไม่ได้เป็นผลดีกับท่านสักเท่าไหร่หรอกนะ ..."
สิ้นคำพูด มือทั้งสองของเขาค่อยเลื่อนมายังร่างของฉัน

อาทิตย์ยังคงฉายแสงอยู่ภายนอก
แต่ภายในห้องกลับร้อนผ่าวด้วยการแผดเผาจากแสงจันทร์
เวทยมนต์อันอัศจรรย์ทำให้ฉันตกอยู่ในภวังค์โดยไม่รู้วันลืมคืน
คาถาอันทำให้สิ้นสติ ร่างกายแข็งเกร็ง สั่นระริก พร้อมกับทรมานราวกับถูกมอดไหม้
ในขณะเดียวกันก็ทำให้ลุ่มหลง ล่องลอย ราวกับหลอมละลายจนกายไม่ใช่ของตัว
ใบหน้าที่งดงามเกินสตรีของมิคะสึกิ ดูขัดกับร่างกายที่สมเป็นชายชาตรีอย่างถ่องแท้
ยามเมื่อจันทร์ฉายแสงวับ ทำให้ฉันต้องข่มตาและกลั้นเสียงของตนเองเอาไว้ 
และมันถูกกลั่นออกมากลายเป็นหยดน้ำตาซึมหลั่งออกมา
แสงจันทร์ก็แปรเปลี่ยนเป็นแสงอ่อนโยนซับหยาดน้ำเหล่านั้นให้เหือดหาย
ฉันสะอื้นไห้แผ่วเบา ส่งรอยยิ้มให้แม้หว่างคิ้วจะมีรอยยับย่นอยู่
จันทราส่งจุมพิตเป็นมนต์เพื่อคลายปมขมวด 
ความกังวลค่อยคลาย แล้วเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันให้ลอยล่องที่เสียดแทรกเข้ามาทุกอณูของร่าง

ราวกับจันทราเปล่งแสงสว่างเสียจนกลางคืนกลายเป็นสีขาวโพลน
เสียงทุ้มนุ่มของมิคะสึกิเรียกชื่อของฉัน ราวกับเขาเป็นผู้ดึงฉันให้โผบินสู่ดวงจันทร์

...............................................

เมื่อดวงตาทั้งสองของฉันเปิดขึ้นอีกครั้ง
ยามนั้นอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้า และดวงจันทร์ของจริงเผยร่างเด่นอยู่กลางนภา
จันทร์ในคืนนี้เป็นจันทร์ข้างแรมรูปเสี้ยว ชวนให้นึกถึงจันทราเมื่อยามตะวันฉาย
ฉันนอนแต่งตัวเรียบร้อยอยู่ในฟูกที่นอนภายในห้องพักของตนเอง
เมื่อพยายามลุกขึ้นมา ก็รู้สึกเจ็บปวดตัวอยู่หน่อยๆ 
ฉันพยุงร่างเดินมาเปิดประตูบานเลื่อนออกไปยังสวนที่เปิดแง้มเอาไว้ให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาในห้อง
อีกฝั่งของประตูนั้น มีเจ้าของดวงจันทร์คู่นั่งอยู่
"ท่านซานิวะ ตื่นแล้วหรือ"
มิคะสึกิกล่าวทักทายตามปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
ต่างกับฉันที่รู้สึกเก้อเขินจนต้องหลบสายตาของเขา
เมื่อฉันไม่ตอบอะไร เขาจึงลุกขึ้นเดินเข้ามาหา และประคองร่างของฉันเอาไว้
"ท่านไม่ควรหักโหมมากนะ กลับไปพักเสียเถอะ พรุ่งนี้ร่างกายของท่านจะได้หายเจ็บ"
"เพราะใครล่ะ?"
ฉันแอบเคืองเล็กน้อยที่เขาทำเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น ทั้งที่ต้นเหตุนั้นคือตัวเขาเอง
"ท่านจะบอกว่าเป็นเพราะข้างั้นหรือ?"
ฉันไม่ตอบแล้วเชิดหน้าหนี เสียงหัวเราะในลำคอของเขาดังแว่วมา
ก่อนที่ร่างของฉันจะถูกยกขึ้นจากพื้นจนฉันต้องส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ
"มะ ... มิคะสึกิซัง!?"
ร่างของฉันถูกวางลงบนฟูก แล้วมิคะสึกิก็ห่มผ้าให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะลูบแก้มของฉันด้วยความถนุถนอม
... ต่างจากเมื่อตอนกลางวัน ...
"... ทั้งที่เป็นพระจันทร์แท้ๆ ตอนกลางวันกลับทำตัวน่ากลัวกว่าตอนกลางคืน"

มิคะสึกิยิ้มน้อยๆ แสงจันทร์สาดส่องจากด้านหลังของเขา ทำให้ฉันมองเห็นหน้าของเขาไม่ชัด
"นั่นก็เพราะจันทร์นั้นงามในยามค่ำคืนอยู่แล้ว
... แต่หากข้าไม่พยายามส่องแสงแม้ในกลางวัน
ข้าเกรงว่าท่านอาจจะไม่ทันได้สังเกตเห็นข้า จนมองแต่ชายอื่นน่ะสิ"
คำตอบที่ทำให้ฉันประหลาดใจว่าจะได้รับจากเขา ทำให้ฉันอึ้งไปนิด
เขาโน้มกายลงต่ำและร่ายมนตราแห่งสิเน่หาใส่ฉันอีกครั้ง
เจ้าดวงจันทร์รัดรึงจิตใจของฉันเอาไว้มิให้ห่าง
ก่อนที่เขาจะปล่อยริมฝีปากของฉันให้เป็นอิสระ
"ท่านก็พักผ่อนให้เต็มที่นะ ท่านซานิวะ"
ฉันพยักหน้าหงึกหงัก และเขาก็ลุกขึ้นจะเดินออกจากห้องไป

ประตูบานเลื่อนถูกเลื่อนออกเมื่อจันทร์โคจรออกห่าง
"อ้อใช่ ข้าควรจะบอกท่านเช่นกัน"
เมื่อประตูบานเลื่อนเลื่อนกลับมา 
แสงจันทร์ด้านนอกก็ฉายให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมิคะสึกิที่ปนเจือไปด้วยสีเลือดบางๆ 
"ว่าแม้ข้าจะเป็นดาบ แม้ท่านจะเป็นสตรีมนุษย์ ข้าเองก็รักท่าน ท่านซานิวะ"

2 comments:

  1. นอนดิ้นด้วยความฟินสุดคำบรรยาย!! กรี๊ดดดดดดดดด~!@฿@%##%>///< //กอดไรท์

    ReplyDelete
  2. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete