Thursday, March 26, 2015

[Tourabu] [R18] Touken Ranbu Fanfiction - Mikazuki Munechika x Saniwa - วิวาห์สามราตรี

มือที่แนบชิดและเรียวนิ้วที่เกี่ยวรัดกันยิ่งทำให้รู้สึกได้ถึงความผูกพันแน่นระหว่างร่างกาย
ร่างของชายหนุ่มโน้มลงมาใกล้เสียจนสมหายใจหอบของเขาพัดผ่านเข้าไปในใบหูพร้อมกับเสียงครางเบาๆ ที่ถ่ายทอดมาจากลำคอระหงของเขา
ภายในห้องแบบญี่ปุ่นมีเพียงเสียงแห่งปรารถนาของชายหนุ่มและหญิงสาวดังคลอไปกับเสียงฟูกเสียดสีกับเสื่อทาทามิ
ก่อนที่ฉันจะระลึกได้ว่าหนึ่งในเสียงที่ประสานไปนั้นเป็นเสียงของตนเอง
ความคับแน่นและความเจ็บปวดที่ส่วนล่างของร่างกายค่อยคลายเมื่อชายที่อยู่เบื้องบนประทับริมฝีปากเข้าที่ใบหูของฉันพลางกระซิบเบาๆ

"นี่เป็นคืนที่สองแล้ว ... ท่านยังเจ็บอยู่หรือไม่?"

เขาไม่เพียงพูดเฉย แต่กลับเร่งเร้าเข้ามาในกายของฉัน
ฉันร้องไม่เป็นคำโดยไม่สามารถตอบอะไร
และเขาก็ยกร่างขึ้นเล็กน้อย ทำให้ฉันมองเห็นใบหน้าของเขาได้ แม้จะไม่ชัดเจนจากการเร้นพรายของความมืดยามราตรี
จันทราเสี้ยวส่องสวยเด่นอยู่บนฟ้าและในนัยน์ตาของชายตรงหน้า
ริมฝีปากของเขาก็ขยับยิ้มเป็นรูปจันทร์เสี้ยวเช่นกัน

"ดูจากสีหน้า ข้าคิดว่าท่านคงรู้สึกยินดีเสียมากกว่าเจ็บปวดแล้วสินะ... "

Touken Ranbu Fanfiction - Mikazuki Munechika x Saniwa - วิวาห์สามราตรี

ฉันเบิกตาโพลงบนเตียงนอนนุ่มสีขาวที่ส่งเสียงเอี๊ยดออกมาเบาๆ ตามแรงสะดุ้งกาย
เบื้องบนของร่างกายมีเพียงความว่างเปล่าและเพดานสีขาวที่ดูไม่ชัดเจนจากแสงอาทิตย์อ่อนที่แทรกตัวจากหว่างผ้าม่าน
นาฬิกาที่ผนังชี้เข็มบอกเวลาเป็นยามเช้าตรู่ ก่อนที่ฉันจะเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาปลุกจากโต๊ะข้างหัวเตียง


นี่เป็นเช้าที่สองที่ฉันตื่นก่อนเสียงแหลมจากนาฬิกาจะดังขึ้น
... และสิ่งที่ปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาเป็นสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือ ความฝันที่ไม่ควรเล่าให้ใครได้รับรู้ ...

ฉันลุกขึ้นจากเตียง เดินเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อเตรียมตัวออกไปทำภารกิจของตนเอง
ร่างกายหน้ากระจกบานใหญ่ ไม่มีร่องรอยอะไรให้มัวหมอง หากแต่เหตุใดยังคงรู้สึกรุมร้อนในส่วนที่ชายในฝันได้สัมผัส
และแม้นสุริยาจะฉายแสงแล้ว แต่จันทร์เสี้ยวนั้นกลับยังติดตาอยู่ไม่หาย
เสียงเย็นนุ่มทุ้มต่ำนั้นก็ราวกับยังก้องอยู่ภายใน
ฉันเผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อจะพูดอะไรบางสิ่ง แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ...

ภารกิจวันนี้มีเพียงการรายงานตัวขั้นสุดท้ายต่อรัฐบาล
จากนั้นฉันจึงกลับบ้านมาเพื่อตรวจสอบข้าวของที่ต้องเตรียมสำหรับการย้ายที่ทำงานครั้งใหญ่ในชีวิต
เสื้อผ้าและเครื่องใช้ส่วนตัวถูกบรรจุไว้ในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
บนโต๊ะทำงานในห้องมีหนังสือสามสี่เล่มวางอยู่
ฉันเดินไปหยิบมันใส่กระเป๋าใบเล็กอีกใบ ก่อนที่หนังสือเล่มสุดท้ายจะลงไปอยู่ในกระเป๋า ฉันก็สะดุดตากับตัวอักษรบนนั้นและหยิบมันขึ้นมาเปิด

"ประวัติศาสตร์ยุคเฮอัน" คือชื่อของหนังสือเล่มนี้
ด้านในเต็มไปด้วยเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเรืองของผู้ปกครองในสมัยนั้น ความขัดแย้ง การสู้รบ รวมไปถึงความเป็นอยู่ และ ... การแต่งงาน ...
หน้ากระดาษที่พลิกกรีดมาหยุดตรงที่เนื้อหาของ "การแต่งงาน"
ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ความฝันในสองคืนที่ผ่านมานั้น จะเป็นเพราะฉันอ่านหนังสือเหล่านี้มากไปรึเปล่า
ภาพของชายหนุ่มในฝันปรากฎขึ้นในสมองอีกครั้ง
เรือนผมสั้นสีน้ำเงินเข้มที่พริ้วไหวไปตามการเคลื่อนกาย
ผิวขาวเนียนงามไม่ต่างจากสตรี
ร่างกายที่ดูผอมเพรียว หากยามไร้สิ่งปกปิดกลับกำยำสมส่วนสมชายชาตรี
ข้อมือบางและนิ้วเรียวดูกรีดกรายแต่กลับกดร่างของฉันให้แนบกับฟูกนอนจนขยับตัวไม่ได้
ดวงตาคมลึกราวกับไพลินเม็ดงามที่สะท้อนเงาภาพของจันทร์จากฟากฟ้าเป็นรูปเส้นโค้งเสี้ยวสีทอง
รอยยิ้มเย็นจากริมฝีปากงามดูนิ่งสงบ ที่เผยอแย้มลมหายใจร้อนรุ่มหลังจากประทับรอยจูบครั้งแล้วครั้งเล่าบนกายของฉัน
คิ้วทั้งสองข้างที่ขยับขมวดเข้าหากัน เมื่อเขาได้แทรกผ่านเข้าในร่าง ......

หนังสือในมือถูกปิดลงเสียงดังก้องไปทั่วห้อง
ฉันส่ายศีรษะไปมาอย่างรวดเร็วเพื่อสลัดความคิดที่ผ่านเข้ามาในหัว แล้วถอนหายใจออกยาว
คงเป็นเพราะฝันนั้นแจ่มชัดถึงสองคืนติดต่อกัน
ฉันจึงได้มีภาพของชายคนนั้นชัดเจนในหัวราวกับต้องมนต์สะกด
เหมือนดั่งนิทานหวานซึ้งครั้งวัยเยาว์ ที่เจ้าชายเจ้าหญิงหลงรักกันและกันเพียงแค่สบตา

อาหารมื้อเย็นเป็นไปด้วยความสงบ เนื่องจากพ่อไม่ต้องการให้ฉันรับทำงานนี้และคัดค้านมาโดยตลอด
แต่ก่อนที่เราจะต่างแยกย้ายกลับห้องตัวเอง เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่ลูบหัวฉันเบาๆ ราวกับเด็กน้อยอยู่สองสามที

ฉันกลับมาที่ห้องของตัวเองด้วยใจเต้นรัว
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคิดถึงภาระหน้าที่ใหม่ในวันพรุ่งนี้
แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงเวลาแห่งความฝันกำลังใกล้เข้ามา
จากระเบียงห้องของฉันเอง จันทราเสี้ยวกำลังส่องแสงระเรื่อโดยไร้เมฆหมอกใดๆ มาบดบัง
จันทร์เสี้ยวดั่งแสงสะท้อนในดวงตาของชายผู้นั้น
ชายที่ฉันไม่รู้จักแม้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่กลับแลกเปลี่ยนความสุขในยามค่ำคืนแล้วถึงสองคราในนิทราที่ชัดเจนจนราวกับความจริง
ชายผู้นั้นเองก็กล่าวถึง "ค่ำคืนที่สอง"
ประหนึ่งเขาในฝันเองก็มีประสบการณ์ร่วมกันกับฉัน
หรือ ... เป็นฉันเองที่เสกสรรความรักและความใคร่ในชั่วข้ามคืนให้สมจริงเช่นนี้
ฉันมองจ้องไปที่พระจันทร์บนฟ้า ยกแก้วใสใบเล็กเรียวเพียงครึ่งคืบที่เต็มด้วยสุราใสแจ๋วในมือขึ้นดื่มทีเดียวหมด
รสขมกระจายไหลไปตามลำคอและความร้อนดั่งถูกเพลิงมายาแผดเผาที่โหมเข้าสู่ร่างกาย
ร่างกายที่รุ่มร้อนพร้อมกับสติที่ลางเลือนลงไม่ต่างจากการถูกเพลิงแห่งความปรารถนาแผดเผา ...

หากราตรีนี้จะต้องมอดไหม้ไปกับไฟรัก
ก็ขอให้เป็นดั่งเช่นโคมวิวาห์
ที่ประดับหน้าห้องของเจ้าสาวในสามคืนแห่งการสมรัก
อันเป็นหลักฐานของการแต่งงานในยุคอดีตกาล

สติที่พร่ามัวกลับแจ่มชัดขึ้นพร้อมกับภาพตรงหน้า
ห้องแบบญี่ปุ่นที่ประตูบานเลื่อนถูกเปิดเอาไว้ไปสู่ระเบียง
และระเบียงก็มีจันทร์เสี้ยวส่องแสงสว่างโดยปราศจากมลทินเบียดบังอยู่เช่นกัน
ฉันนั่งอยู่บนฟูกที่นอนที่ถูกปูเตรียมเอาไว้
ไม่มีโคมไฟแขวนที่หน้าห้อง แต่มีตะเกียงอันเล็กวางอยู่ภายในห้องแทน

ห้องที่ฉันไม่คุ้นเคยและคุ้นเคย

ยังไม่ทันที่ฉันจะลุกขึ้นจากพื้น แสงที่ส่องจากด้านนอกก็ถูกบดบังด้วยเงาของร่างสูง
เมื่อหันไป ดวงจันทร์ดวงใหญ่กลับถูกแทนที่ด้วยจันทร์เสี้ยวดวงเล็กสองดวงจ้องมองตรงมา

"ในที่สุดท่านก็มา ..."
เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นเช่นปกติ
"เจ้าสาวของข้า"

ร่างนั้นเคลื่อนเข้าใกล้และนั่งลงด้านหน้าของฉัน มือหนึ่งยกขึ้นสัมผัสแก้มของฉันอย่างแผ่วเบา ก่อนเขาจะโน้มศีรษะตัวเองลงมา
ฉันหลับตาลงอย่างรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา
ความอบอุ่นนุ่มนวลเกิดขึ้นที่ริมฝีปากเพียงชั่วครู่ และร่างของฉันก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของเขา

เสียงหัวเราะดังขึ้นมาเบาๆ
"อันที่จริง ข้าเองก็แอบเกรงว่าท่านจะเปลี่ยนใจแล้วไม่มาเสีย"
มือที่พาดอยู่ด้านหลังลูบไล้กายของฉันราวกับจะพิสูจน์ให้แน่ใจถึงตัวตน
"แม้ข้าจะมั่นใจในตนเองมาก แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ข้าหวาดหวั่น"
เขามองเข้ามาในแววตาของฉัน ดวงตาคู่นั้นยังยิ้มยวนจนชวนให้ไม่น่าเชื่อในคำพูดของเขา
"แม่เทพยดาแห่งรัตติกาล นี่เป็นคืนที่สามแล้ว ท่านเข้าใจถึงความหมายนี้ใช่หรือไม่?"

สิ่งที่อ่านในหนังสือหวนกลับเข้ามาในความคิดของฉันทันที
ในสมัยเฮอันนั้น ไม่มีพิธีแต่งงานใดๆ หากแต่เมื่อชายหนุ่มเข้าใช้เวลายามราตรีกาลร่วมกับสตรีสามคืนติดต่อกัน
จะถือว่าทั้งสองได้ร่วมประกอบพิธีวิวาห์ และแลกสัญญาว่าจะร่วมชีวิตด้วยกัน

"นี่เป็นคืนที่สาม"
คำนี้บ่งบอกความหมายได้ชัดเจนยิ่งนัก

ฉันก้มหน้าลงเล็กน้อยหลบสายตาที่มองมาอย่างแน่วแน่ ก่อนจะตอบเสียงเบาด้วยความเอียงอาย
"ฉันเองก็มาที่นี่ด้วยเหตุนี้ ... ท่านชายแห่งจันทรา ..."

ดวงตาคู่งามที่ยิ้มยั่วหรี่ลงด้วยความยินดีอีกครา

ประตูบานเลื่อนถูกปิดลง เหลือเพียงแสงสลัวจากตะเกียงภายในห้อง
ผิวกายสีอ่อนอันไร้สิ่งปกปิดของเราทั้งสองถูกย้อมเป็นสีเหลืองนวลจากแสงเทียนจากตะเกียงที่ตั้งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ฝ่ามือที่เนียนราวกับผู้หญิงไล้ไปตามร่างกายของฉัน ความนุ่มที่บ่งบอกว่าเขาคงเป็นชายมีชาติตระกูลแต้มด้วยรอยสากเล็กน้อยบนฝ่ามือทำให้ฉันร้อนวูบวาบเสียจนแทบขนลุก
ชายหนุ่มเพียงโน้มกายมาอยู่เหนือร่าง มองจ้องใบหน้าของฉันเสียจนต้องหลบสายตา พลางลูบไล้ไปทั่วเรือนร่างของฉันโดยไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้น
มุมปากของเขาขยับขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เมื่อมือนั้นขยับถึงด้านล่าง เขาก็ทำเพียงวาดปลายนิ้วไปมาที่ต้นขาด้านใน
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยแล้วส่งสายตาไปยังเขา
ลมหายใจร้อนของฉันหลั่งไหลออกมาพร้อมกับอารมณ์ความรู้สึกมากมายที่แสดงออกมาจากสายตา
ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
"แม่เทพยดา สีหน้าของท่านช่างเร่งเร้าข้ายิ่งนัก"
เสียงหัวเราะเย็นดังขึ้นแผ่ว
"ท่านต้องการให้ข้าสัมผัสท่านให้มากขึ้นอย่างนั้นหรือ"
เสียงหวานหนึ่งหลุดรอดออกจากปากของฉัน
"ฉัน ... ต้องการคุณ ..."
คำพูดที่ไม่น่าเชื่อว่าตนเองเป็นคนเอ่ยหลุดออกไป ชายตรงหน้ายิ้มอย่างพึงพอใจ
"ท่านช่างน่ารักนัก เจ้าสาวของข้า"
สิ้นคำพูด มือของเขาเลื่อนจากขาอ่อนไปยังหว่างกลางแทน ทั้งยังโน้มใบหน้าลงซุกที่ซอกคอของฉัน
ปลายลิ้นนั้นลากไซร้ราวกับจะลิ้มรสทุกส่วนของร่าง ผสมปนเปไปกับแรงดูดตอด
เสียงของฉันยิ่งดังขึ้นไปกับจังหวะที่ปลุกเร้าของชายหนุ่มที่เป็น "เจ้าบ่าว" ในคืนนี้
สติที่เคยแจ่มชัด กลับค่อยลางเลือนราวกับละลายไปพร้อมกับความปั่นป่วนที่เขาเป็นผู้มอบให้
เมื่อมือข้างหนึ่งของเขาลงสัมผัสกับเนินนูนของร่างกายและออกแรงบีบเคล้นมันแผ่วเบา ฉันได้แค่ปล่อยลมหายใจออกแรงพร้อมกับเสียงจากลำคอ
สัมผัสที่เร่งให้ความปรารถนาภายในพลุ่งพล่าน
ที่ดูไม่คุ้นเคยและช่างแสนคุ้นเคย
ปลายลิ้นของชายหนุ่มเคลื่อนมาจนถึงส่วนยอด ก่อนจะให้ริมฝีปากได้ช่วยทำหน้าที่ของมัน
ฉันสะดุ้งตัว และส่งเสียงดังออกมาไม่เป็นคำ
แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ ยังคงทำในสิ่งที่เขาต้องการ
ฉันเบือนหน้าหลบ เม้มริมฝีปากแน่น ด้วยความรู้สึกขวยเขินจากเสียงที่เปล่งออกมาของตนเอง เพียงแต่มันไม่ได้ช่วยให้เสียงจากลำคอเบาลง
เสียงอันเป็นหลักฐานของการยอมตามการโลมเล้าของชายตรงหน้า
พอเสียงร้องแผ่วลง มือที่อยู่ด้านล่างของเขาจึงขยับเร็วขึ้นอีก
ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกรีบแล่นปลาบจากส่วนล่างของร่างกายไปจนทั่วร่าง
ฉันขยับสะโพกของตนเองหลบโดยไม่ทันได้คิด ชายหนุ่มจึงขยับขาให้คร่อมขาข้างหนึ่งของฉันไว้ไม่ให้หนีไปไหน
เสียงของฉันยิ่งดังขึ้น และก้องอยู่ภายในหัวจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใด
ฉันยกมือทั้งสองขึ้นป้องปากของตนเอง
ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนจากหยดน้ำตาที่คลอเอ่อขึ้นมา

เสียงของเขาดังขึ้น
"นี่เป็นคืนที่สามแล้ว"
สัมผัสจากยอดอกหายไป กลับมีแสงจันทร์เสี้ยวสองดวงสาดส่องลงมาที่ฉัน
ฉันลดมือสองข้างลง เหม่อมองดวงจันทร์ราวกับต้องมนต์
"ข้าคิดว่าท่านคงเริ่มคุ้นเคยกับความสุขสมเช่นนี้บ้างแล้ว"
นอกจากดวงจันทร์ ยังมีรอยยิ้มบางบนใบหน้างดงามนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้
"ถ้าเช่นนั้น โปรดจงอย่าซุกซ่อน แต่ให้ข้าได้ฟังเสียงของท่านที่สุขล้ำกับคืนวิวาห์เถอะ"
สิ้นคำพูดของเขา ร่างของฉันก็ถูกรุกรานโดยปลายนิ้วที่กรีดกรายอยู่เบื้องนอกเมื่อสักครู่
ฉันส่งเสียงร้องออกมา พร้อมกับยกมือขึ้นจะปิดปากตนเองอีกครั้ง
แต่ริมฝีปากของฉันกลับถูกปิดด้วยริมฝีปากของเขาในทันใด
เสียงที่เล็ดรอดออกมาจากระหว่างริมฝีปาก ก็ถูกผลักไสด้วยการรุกล้ำของลิ้นที่แทรกผ่านเข้ามาเกลือกกลั้วพัวพันเสียจนลมหายใจขาดช่วง
มืออีกข้างหนึ่งของเจ้าบ่าวเลื่อนขึ้นมาสัมผัสแก้มฉันไว้ ลูบไล้เพียงแผ่วเบา ราวกับจะพิสูจน์ให้แน่ชัดถึงตัวตน และยังปัดป้องไม่ให้ฉันเบือนหน้าหนีอีกด้วย

ในห้องมีเพียงเสียงหายใจแรงของเราสองคน
เสียงจูบจากริมฝีปากทั้งสองราวกับกระหายรสชาติของกันและกันอย่างไม่จบสิ้น
เสียงหวานที่แทรกตัวออกมาจากปากของทั้งสอง
และเสียงเหนอะหนะจากด้านล่างของฉันที่มีมือของเขากำลังเร่งเร้า

ความเสียวซ่านและหวานล้ำที่ร่างกายรับรู้ ช่วยบดขยี้สติให้แหลกสลาย
ฉันยกแขนทั้งสองขึ้นโอบล้อมลำคอขาวของชายด้านบน กอดคอของเขาไว้ ประหนึ่งไม่อยากให้เขาหยุดจุมพิตที่แลกเปลี่ยนกันครั้งแล้วครั้งเล่า
เสี้ยววินาทีต่อมา ขาทั้งสองก็เกร็งแข็งขึ้นด้วยความอึดอัดจากเรียวนิ้วที่ถูกเพิ่มเข้ามา
เสียงของฉันดังขึ้นอีก ก่อนที่จะถูกกลบด้วยเสียงจูบอีกครั้ง
จังหวะของด้านล่างเริ่มล้ำลึกขึ้นจนร่างกายของฉันเคลื่อนไหวไปตามแรง
ลมหายใจหอบเป็นจังหวะคลอไปกับเสียงเสียดสีของฝูกกับพื้นเสื่อญี่ปุ่น
ริมฝีปากที่แยกจากกันมีเสียงลมหายใจหนักหน่วงของเขาเช่นกัน
ก่อนที่เขาจะส่งยิ้มให้กับฉัน
จันทราในตาของเขาฉายแสงวาบ
ราวกับผู้ที่อยู่ใต้แสงนี้ จะไม่อาจต้านทานความปรารถนาใดๆ ของเขาได้เลย

"ช่างน่าแปลกนัก"
มือข้างนั้นไม่หยุดการเคลื่อนไหว ส่วนสายตาของเขาขยับลงมองดูเรือนร่างของฉัน เขาขยับร่างขึ้น แล้วใช้มืออีกข้างลูบตั้งแต่ลำคอของฉันไล่ลงมา
"ข้าได้ประทับร่องรอย ... สัญลักษณ์แห่งสิเน่หา ... ลงบนกายของท่านนับไม่ถ้วน เพียงหวังว่าท่านจะไม่อาจลืมข้าได้แม้แต่เวลาเดียว ... และทำให้ท่านต้องกลับมาหาข้าอย่างแน่นอน"
มือนั้นไล่มาจนถึงหน้าท้อง ก่อนจะเลื่อนไปจนถึงขาอ่อน แล้วกลับขึ้นสูงอีกครั้ง
"แต่เพียงคืนเดียว ท่านก็กลับมาหาข้า ด้วยกายที่ผุดผ่อง ไร้ร่องรอยใดๆ"
คราวนี้เขาหยุดมือ แล้วขยับร่างขึ้นเหนือร่างของฉัน ใบหน้าของเขาโน้มเข้ามาประชิด เขาจูบหน้าผากของฉันอย่างนุ่มนวล ก่อนจะรำพึงเสียงแผ่วเบา
"ท่านคงเป็นเทพยดาจริงๆ ช่างงดงาม และสูงส่ง ...... เกินกว่าจันทร์เสี้ยวที่ต่ำต้อยอย่างข้าจะสัมผัส"
ฉันยกแขนทั้งสองข้างขึ้นจับไหล่ของเขา ราวกับรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อความปลุกเร้าจากส่วนล่างหายออกไปในวูบเดียว
ฉันเบือนหน้าหลบสายตาของเขา
"แต่ถึงอย่างนั้น ... ข้าก็ได้ท่านมาครอบครองแล้ว ..."
ฉันไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่เสียงที่ฟังดูอ่อนไหว กลับหนักแน่นขึ้นในชั่วพริบตา พร้อมกับความรุ่มร้อนที่แทรกผ่านมาในกาย ความรุ่มร้อนที่ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดแต่ก็แสนสุขอย่างประหลาด
การบุกรุกอย่างกะทันหันของเขาทำให้ฉันหลุดปากออกมาเสียงดังโดยไม่ทันระวัง
"ดะ ... เดี๊ยว! อ๊ะ!"
แน่นอนว่าเขาไม่ใส่ใจคำพูดของฉัน ไม่ต่างจากสองคืนที่ผ่านมา
เขาสอดความปรารถนาของเขาที่คับแน่นในร่างของฉันให้ลึกเข้ามา ความเจ็บปวดแบบคืนก่อนๆ เจือจางลงไปจนแทบสิ้น กลับมีความรู้สึกแปลกๆ ราวกับสุขสันต์ ปลุกเร้า และเคว้งคว้างแล่นแปลบปลาบไปทั่วร่างกาย
เมื่อเข้าไปจนสุด เขาก็หยุดนิ่ง ความเงียบปกคลุมห้องอีกครั้ง
ฉันหันไปมองหน้าของเขา
ใบหน้าของเขามีหยดเหงื่ออยู่ประปรายบนผิวสีอ่อนตัดกับเรือนผมครามเข้ม แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาทั้งสองก็ยังคงมีเป็นสีเข้มของค่ำคื่นที่แขวนจันทราโดดเด่นฉายแสงอยู่ ริมฝีปากบางของเขาขยับยิ้มเป็นจันทร์เสี้ยวที่อ่อนโยน
ลมหายใจของเขาเข้าออกแรงกว่าปกติจนเป็นเสียงหอบเบาๆ
ฉันมองจ้องใบหน้าที่แสนงามนั้นจนเคลิ้ม ปล่อยให้คำพูดล่องลอยออกมาระหว่างเสียงหอบของตนเองเช่นกัน
"คุณ ... ช่างเป็นดวงจันทร์ที่งดงาม ... ไม่ได้ต่ำต้อยแม้แต่น้อยเลย ..."
แววตาที่สงบเย็นเบิกโพลงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ลงรับกับแนวโค้งของปาก กลายเป็นรอยยิ้มที่งดงาม
งดงามมากที่สุดที่ฉันเคยเห็นมาในสองสามคืนนี้
และงดงามที่สุดที่ฉันเคยเห็นชายใดบนโลกใบนี้
ครั้งนี้ไม่ใช่มนตราจากดวงจันทร์ แต่เป็นเสน่ห์ของชายคนนี้ที่ตรึงสายตาของฉันเองไว้
ริมฝีปากนั้นขยับเป็นคำพูด
"ท่านก็ช่างแสนงดงาม เจ้าสาวของข้า"

ทันทีที่เสียงของชายหนุ่มเงียบลง เสียงร้องของฉันก็ดังขึ้น ประสานคลอไปกับเสียงเขาขยับร่างเข้าออกเป็นจังหวะ
จังหวะที่เชื่องช้า แล้วค่อยรุนแรงรวดเร็ว เหมือนเพลงโหมโรงที่ค่อยเข้าสู่ท่อนสำคัญอันเร้าอารมณ์
ฉันได้แต่ส่งเสียงถ่ายทอดความรู้สึกที่พลุ่งพล่านในกาย ในขณะที่ขมวดคิ้วทั้งสองแน่นจนภาพเบื้องหน้าไม่ชัด ฉันเห็นเพียงแค่รอยยิ้มลางๆ ของเขาเท่านั้น
"ท่านเจ็บหรือไม่?"
เสียงนั้นดังขึ้นจากภาพเลือนลางตรงหน้า
ฉันส่ายหัวไปมาแทนคำตอบเพราะเสียงของฉันไม่อาจเป็นภาษาสื่อสารได้อีกแล้ว
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะมีอีกคำถามหนึ่งตามมา
"ถ้าเช่นนั้น ท่านรู้สึกดีหรือไม่?"
ฉันลังเลที่จะตอบเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ความเสียวที่หวามหวานจะโถมเข้ามาจากด้านล่าง แล้วกลืนกินสติและความอายไปเสียจนหมด
มือสองข้างที่จับไหล่ของเขาอยู่พยายามกำแน่น ร่างกายของฉันเองเริ่มขยับเข้าหาการรุกเร้าของชายหนุ่มด้วยตนเอง และคำพูดก็แหวกผ่านเสียงครางและเสียงหอบออกมาแทบไม่เป็นคำ
"ฉะ ... ฉัน ... ระ ... สึก ... ดี ... อือ"
"อา ... เช่นนั้นข้าจะทำให้ ... ท่านรู้สึกดีกว่านี้อีก"
สัมผัสเสียดสีด้านล่างยิ่งรุ่มร้อนเร่งเร้ารวดเร็วไม่ต่างจากเสียงร้องและเสียงหายใจของเราสองคน
เสียงของร่างที่ปรารถนาจะประสานกันดังก้องไปทั่วห้องที่เงียบกริบ
แสงสลัวจากตะเกียงส่องให้เห็นกายกันและกันอย่างไม่ชัดเจน
แต่เกลียวคลื่นที่เกิดจากการปะทะยังคงถาโถมโหมเข้าใส่จนตัวของฉันสั่นไหว ขาเหยียดออก เนื้อเกร็งไปจนถึงปลายสุดของนิ้ว
แม้กระนั้นความรุนแรงของคลื่นมีแต่จะยิ่งทวีคูณสูงขึ้นไป
ฉันไม่อาจบังคับเสียงของตัวเอง ได้แต่ปล่อยให้มันเร่งตัวตามกระแสคลื่น
ชายที่อยู่เบื้องบนยังมีรอยยิ้มพรายบนใบหน้า แต่กลับขมวดคิ้วราวกับทรมาน ความเยือกเย็นเช่นปกติของเขาเหือดหายไปราวกับถูกไฟแห่งรักและราคะสุมให้ละลายสิ้น
เสียงหายใจหนักคละมากับเสียงครางดังออกมาจากเขา ไม่แต่งต่างจากเสียงที่ได้ยินจากตัวฉันเอง
ฉันสบสายตาของเขา ก่อนจะเบือนหน้าหลบด้วยความเอียงอาย แต่เขากลับร้องห้าม
"อา ... เจ้าสาวของข้า ... ให้ข้าได้มองหน้าท่านเถิด ... และ ... อึก ... ให้ท่านมองหน้า ... เจ้าบ่าวของท่าน ... ด้วย"

ราตรีกาลย่ำเท้าผ่านอย่างเชื่องช้า ไร้เสียง และเย็นเยือก
แต่ภายในห้องหอของบ่าวสาวกลับราวกับนาฬิกาวาดแขนอย่างรวดเร็ว เต็มไปด้วยเสียงแห่งสัมพันธ์ และรุ่มร้อน
ฉันประสานสายตากับเขาอย่างที่เขาร้องขอ
ภาพของเจ้าบ่าวของฉันดูแจ่มชัด แต่ก็ลางเลือน โดยที่ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะน้ำตาที่คลอเอ่อ หรือเป็นเพราะสติที่ถูกความสุขเสียวเข้ารุกรานเสียจนไม่อาจคิดอะไรได้
ร่างกายที่ดูเหมือนบอบบาง  แต่แท้จริงกลับแข็งแรงได้รูปงดงามยังคงเคลื่อนไหวไปมาส่งให้ความปรารถนาของเขาแทรกตัวผ่านมาในร่างของฉันจนอึดอัดตึงแน่นไปเสียทั้งหมด
ร่างกายของฉันเริ่มเกร็งจนแทบทำอะไรไม่ถูก ปลายนิ้วของฉันกดไหล่ของเขาแน่นเสียจนฉันเจ็บ และเขาเองก็คงจะเจ็บเช่นกัน
แต่ฉันกลับไม่มีสติเหลือเพียงพอที่จะคิดถึงความเจ็บปวดนั้น
ชายตรงหน้าก็คงไม่ต่างกัน
เพราะในตอนนี้ สิ่งที่สติของพวกเราจับจ้อง มีเพียงความสุขล้นจากส่วนล่างที่โหยหาตามสัญชาตญาณ และใบหน้าของอีกฝ่ายที่เคลิบเคลิ้มมึนเมาไปกับความสุขนั้น
ความสุขซ่านที่แทบจะทรมาน และเราต่างรู้ดีว่าจะทำอย่างไรให้คลายจากความทรมานนั้น
แววตาสีไพลินของชายหนุ่มกลายเป็นสีหม่นจากความร้อนรนในกายเขา แต่จันทราคู่นั้นยังคงส่องประกายวาวราวกับจะปลดปล่อยสัตว์ร้ายออกมา
เขาเร่งจังหวะขึ้นอีก เป็นการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังมากกว่าสองคืนที่ผ่านมา
ความสุขที่โหมเข้าหาเราสองคนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นทุกที
ฉันไม่ได้เรียกชื่อของเขา และเขาไม่ได้เรียกชื่อของฉัน
เพราะเราไม่เคยรู้ชื่อของกันและกัน
ฉันจึงได้เพียงส่งเสียงร้องให้เขารู้ถึงความรู้สึกที่ท่วมท้นของฉัน
เขาเองตอบสนองด้วยการมอบความสุขล้ำให้กับฉันมากขึ้นไปอีก

ฉันปล่อยให้ตัวเองครางเสียงสั่น ในขณะที่เขาเข้ามาในร่างกายของฉันจนลึก
ฉันรับรู้ว่าร่างกายของตนเองก็ตอบสนองเขาอย่างดีประหนึ่งไม่อยากให้เขาออกไปจากกายนี้
ชายหนุ่มสอดแทรกเข้าจนถึงที่สุด ก่อนจะขยับถี่ๆ แล้วเกร็งตัวแน่น
ขาของฉันที่เกี่ยวกระหวัดเขาเอาไว้ก็รัดร่างนั้นไม่ให้ห่าง
ฉันรู้ดีว่าสิ่งที่จะถูกปลดปล่อยออกมาในตอนนี้ไม่ใช่สัตว์ร้าย
เสียงหวานที่แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นของตนเองดังขึ้น ร่างกายของฉันก็เกร็งและสั่นกระตุก หัวใจเต้นเร่งระรัว พร้อมกับความรู้สึกที่พุ่งขึ้นจนสูงสุดยอด ปลายนิ้วทั้งแขนและขาไหวระริก สะโพกของตนเองขยับเข้าหาร่างกายของชายหนุ่ม ราวกับจะซึมซาบความเสียวซ่านที่แล่นผ่านจากส่วนที่เชื่อมต่อกันไปยังทั่วทุกอณูของร่างกาย
ภาพของเจ้าบ่าวแจ่มชัดในแสงสีขาวที่ส่องสว่างในสมอง พร้อมกับความรู้สึกอุ่นๆ ที่ถูกปลดปล่อยและหลั่งรินเข้ามาในกาย

แขนและขาทั้งสองข้างของฉันทิ้งลงข้างตัวอย่างสิ้นเรี่ยวแรง
เมื่อความอบอุ่นถ่ายทอดจนหมดสิ้น เขาก็ถอนส่วนที่ประสานออกจากกันแล้วล้มตัวลงข้างกายฉัน
ไม่ใช่เพียงแค่แขนขาเท่านั้น แต่ฉันหมดกำลังไปจนสิ้นเสียทั้งหมด
เจ้าบ่าวของฉันดึงร่างของฉันเข้าวงแขนของเขา กอดฉันไว้ชิดเสียจนแนบตัว
ฉันได้เพียงแค่ยิ้มให้กับเขาด้วยสติที่กำลังจะขาดหาย
เปลือกตาที่หนักอึ้งปิดลงอย่างช้าๆ
ฉันได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากเขา จากนั้นจึงสัมผัสได้ถึงริมฝีปากนุ่มที่จรดลงบนหน้าผากของฉัน
ก่อนสติจะหายไปสู่นิทรารมย์ เสียงนุ่มของเขาก็ดังกังวาลขึ้นอย่างแผ่วเบา
"ข้ารักเจ้า ภรรยาของข้า"

............
ฉันเบิกตาโพลงบนเตียงนอนนุ่มสีขาวที่ส่งเสียงเอี๊ยดออกมาเบาๆ ตามแรงสะดุ้งกาย
เบื้องบนของร่างกายมีเพียงความว่างเปล่าและเพดานสีขาวเช่นเดิม
ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอน
เสื้อผ้าทุกอย่างยังคงอยู่บนร่างกายอย่างดี และไม่มีร่องรอยของการสมรสใดๆ เกิดขึ้น
ไม่มีแม้แต่รอยสัญลักษณ์ที่เขาได้ทำเอาไว้

นี่เป็นคืนที่สามที่ความฝันอันเร่าร้อนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เฉกเช่นว่าเป็นดั่งคืนวิวาห์ของฉัน
หากมันเป็นคืนวิวาห์จริง
ย่อมหมายความว่าชายผู้นั้นเป็นสามีที่ถูกต้องของฉันแล้ว
ชายผู้ที่ฉันไม่เคยรู้แม้แต่ชื่อ
รู้เพียงว่าเขามีจันทร์เสี้ยวแฝงอยู่ในนัยน์ตา และมอบความรักความใคร่ให้กับฉันตลอดสามค่ำคืนที่ผ่านมา

ฉันลุกขึ้นจากเตียงนอน สะบัดหัวเบาๆ หลายต่อหลายครั้ง เพื่อขับไล่ภาพในค่ำคื่นออกไปให้หมด
"ต่อจากนี้จะเพ้อเจ้อไม่ได้แล้วนะ"
ฉันพูดกับตัวเองเบาๆ
"เพราะตั้งแต่วันนี้ เราต้องรับภาระกิจที่สำคัญมาก"

แสงที่ส่องสว่างไปทั่วเป็นแสงประดิษฐ์จากน้ำมือของมนุษย์
ส่วนแสงเจิดจ้าที่แทรกผ่านมาจากภายนอกคือแสงจรัสของดวงอาทิตย์
ไม่มีแสงนวลนุ่มของจันทราจากที่ใด
แม้ภายนอกจะสว่าง แต่ในใจของฉันกลับมืดมนด้วยความเหงาและเปล่าเปลี่ยวในจิตใจอย่างประหลาด
"มันเป็นเพียงความฝัน"
ฉันบอกตัวเองหลายต่อหลายครั้ง
แต่ดูเหมือนการตอกย้ำนั้น จะยิ่งเป็นการเน้นว่าฉันไม่อาจลืมภาพของชายผู้นั้นได้เลย
ยิ่งบอกให้คิดว่าเขาเป็นภาพฝัน สัมผัสของเขาก็ยิ่งชัดเจนราวและติดตรึงอยู่ในความทรงจำ
เสียงกระซิบแผ่วก่อนฉันจะปล่อยตัวเองหลับไหลไปกับความเหน็ดเหนื่อย
ยิ่งทำให้ฉัน ......

ประตูบานใหญ่เบื้องหน้าถูกเปิดออกทำให้แสงอาทิตย์สาดซัดใส่จนฉันแสบตาไปหมด
เบื้องหน้ามีชายหนุ่มในชุดข้าราชการยืนโค้งให้พร้อมกับชายอีกสามสี่คนในชุดเดียวกัน
สติของฉันกลับมาอยู่กับตนเองอีกครั้ง
ฉันส่งยิ้มและกล่าวทักทายพวกเขาเหล่านั้น ชายที่ยืนอยู่หน้าสุดเมื่อโค้งให้ฉันเสร็จก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม ก่อนจะสั่งให้คนอื่นๆ กระวีกระวาดมาหยิบสัมภาระของฉันขึ้นพาหนะคันใหญ่ที่จอดอยู่ตรงหน้า
"ขอบคุณนะคะที่อุตสาห์มารับ"
ชายตรงหน้าขยับมุมปากขึ้นพร้อมดวงตาเป็นประกายมีเสน่ห์ แต่กลับทำให้ฉันยิ่งหวนคิดถึงสามีในความฝันของฉันมากขึ้น
ชายที่ดูงดงาม จนอาจกล่าวได้ว่าคงเป็นชายที่งดงามที่สุดบนพื้นพิภพนี้ก็เป็นได้
ชายตรงหน้ายื่นมือมา ฉันจับมือนั้นไว้ แล้วค่อยเดินตามเขาไปยังพาหนะคันหรู
"หามิได้หรอกครับ เพราะท่านคือท่านผู้ทรงคุณค่าของเรา"
เขาเปิดประตูที่นั่งออก ฉันขยับตัวเข้าไปในห้องโดยสารของพาหนะนั้น เขาปิดประตู แล้ววิ่งไปขึ้นพาหนะจากฝั่งตรงข้าม นั่งลงข้างกายฉัน
ข้าวของของฉันถูกจัดเรียงขึ้นด้านหลังพาหนะ ส่วนคนอื่นๆ ที่เป็นผู้ยกกระเป๋าก็วิ่งไปขึ้นพาหนะอีกคันที่จอดอยู่ด้านหลัง ก่อนที่พาหนะทั้งสองจะค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ และรวดเร็วขึ้นอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศภายในก็เงียบสงัดเช่นกัน
ก่อนที่เสียงของชายหนุ่มจะดังขึ้น
"ดูท่าทางคุณหนูไม่ค่อยร่าเริงเลย ท่านรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างนั้นหรือครับ?"
เขาถามด้วยน้ำเสียงปนความเป็นห่วงอยู่นิดๆ
ฉันหยุดคิดเพียงนิดหน่อย แล้วส่ายหัว
"ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่ ... ฝันแปลกๆ"
"ฝัน?"
เขาเบิกตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแปรเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ
"คงไม่มีอะไรจะแปลกไปกว่าสิ่งที่ท่านจะทำต่อจากนี้อีกแล้ว แต่เอาเถอะ ... ด้วยพลังของท่าน มันอาจเป็นฝันบอกลางก็ได้นะครับ"
"ฝันบอกลาง?"
คราวนี้เป็นฉันที่เบิกตาขึ้นโพลง หัวใจที่สงบแล้วกลับขึ้นมาเต้นระรัวราวกับมีความหวังอะไรบางอย่างในใจผุดขึ้น
ฉันส่ายหัวไปมาอย่างช้าๆ กระซิบบอกกับตัวเองให้ใจเย็นลง และอย่าเพ้อเจ้ออะไรให้มากนัก
แต่หาก ... ได้เจอกับเขาอีกจริงๆ ...
เขา ... จะร่วมประสบการณ์คืนฝันรักอันแสนหวานนั้นกับฉันหรือไม่?
และ ... เขาจะจำได้ จะยินดี และจะยอมรับความสัมพันธ์ของเราหรือไม่ ...?
คำถามที่เกิดขึ้นมาในใจอย่างต่อเนื่องทำให้คิ้วทั้งสองของฉันขยับขมวดเข้าหากันเองโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งไม่ได้รับรู้เลยว่าพาหนะถึงที่หมายและจอดนิ่งแล้ว
ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ลงจากรถไปเปิดประตู
เขาส่งเสียงเรียกฉันที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
"เอาล่ะ ถึงแล้วครับ ต่อจากนี้ไปพวกเราต้องพึ่งพาความสามารถของท่านแล้ว"
ฉันก้าวลงจากรถ อาคารเบื้องหน้าเป็นตึกสูงจนแทบเสียดฟ้าสีเทาทะมึนน่าเกรงขาม
ฉันมองขึ้นไปจนถึงยอดนั้นอย่างไม่ลังเล
อาคารที่ไม่ใช่ที่ทำงาน แต่มีอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นสูงเกิดกว่าจินตนาการของมนุษย์ติดตั้งอยู่ และมันจะส่งฉันไปยังที่ทำงานใหม่ ... แม้จะเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต
"ขอบคุณนะคะที่มาส่ง"
ชายคนนั้นเรียกให้คนอื่นถือกระเป๋าข้าวของของฉันเดินเข้าไปด้านใน
"ผมต้องขอตัวแล้ว ขอให้ท่านโชคดี ท่าน 'ซานิวะ' "
เขายืนตรงทำความเคารพด้วยสีหน้าเข้มแข็ง แล้วยืนส่งฉันให้หันหลังเดินเข้าไปในอาคาร

ใช่แล้ว
ต่อจากนี้ไป ฉันคือ "ซานิวะ"
ชื่อที่ใช้เรียกผู้ที่มีพลังพิเศษในการอัญเชิญวิญญาณบริสุทธิ์ที่สิงสู่ในข้าวของเครื่องใช้ และมอบกายเนื้อให้
เบื้องหน้าที่ฉันกำลังก้าวไปคือโลกในอดีตที่มีเหล่าผู้ขายวิญญาณให้กับความโศกเศร้า พยายามจะเปลี่ยนโลกไปในทางที่ตนเองต้องการ
โลกที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าจะมีอะไรรอคอยอยู่
โลกอันตรายไม่อาจรู้ว่าในแต่ละวัน ฉันจะได้กลับไปยังที่ของตนเอง
เพื่อหลับฝันถึงชายผู้เป็นคู่ครอง
ชายผู้เป็นคนรัก
ที่ฉันไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามใดของเขา
... นอกเสียจากดวงตาคู่นั้น ...
... จันทร์เสี้ยวที่เปล่งแสงเย้ายวน ...
... ดั่งมนต์สะกดแห่งรัก ...

**********************************
แต่นแต๊นนนนนนนน จบ
แต่งเรื่องนี้อยู่สามอาทิตย์ได้มั้ง
แถมไปนั่งแต่งบนรถไฟฟ้าอีก
อยู่ต่างบ้านต่างเมืองดีอย่างนี้นี่เอง แต่งฟิคติดเรทท่ามกลางสาธารณะชนได้ XDDDDDD
เป็นเรื่องที่รู้สึกว่าแต่งไม่ดี =3= เพราะนึกคำไม่ออก ใช้คำซ้ำเยอะ และเวิ่นเว้อเกินไป ...
ฉากติดเรทก็เขียนนานมาก ขยุกขยักไปมา เวลาก็ไม่ค่อยมี ไอเดียยิ่งไม่ค่อยมีใหญ่
=3= ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ...

ฟิคนี้แต่งขึ้นมาเพราะเพลงไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ ที่คิดว่าเนื้อหาน่าเอามาแต่งปู่ว์มากกกกกก
แปะลิงค์ : https://www.youtube.com/watch?v=Gc1R7rDqHL4
โดยส่วนตัวชอบเพลงที่เกี่ยวกับพระจันทร์ และเพลงเนื้อหาแนวๆ นี้อยู่แล้ว
เพราะมันดูเมาๆ เพ้อๆ ดี >_<
ฟังเพลงเกี่ยวกับพระจันทร์แล้วอยากจับแต่งปู่หมดเลย
เพลงเพียงแค่ใจเรารักกัน (วิวาห์ใต้แสงจันทร์) เราก็ว่าน่าเอามาแต่งปู่ว์เป็นล้นพ้น โฮกกกกกกก
TT3TT แต่ที่สัญญาไว้ว่าจะแต่งพี่จิ้งกับย่ากระเรียนตอนยอมมาหา ก็ยังดองไว้เลยอ่ะ
แถมฟิคใหม่ๆ งอกในหัวแทบรายวัน โฮกกกกกกก
ใครก็ได้มาเอาพล๊อตไปแต่งแทนที
//อ้าว =3="

พอพูดถึงการแต่งงาน สำหรับหนุ่มในยุคเฮอัน จริงๆ มันไม่มีงานแต่งงานเป็นกิจลักษณะค่ะ ... O_O
แต่เมื่อหนุ่มปิ๊งสาวใด ส่งจดหมายรักหากันจนพอใจ หนุ่มจะใช้วิธี "ย่องเข้าหาตอนกลางคืน"
และถ้าไปหาสามคืนติดกัน ก็แปลว่าโอเคตกลงกันได้ วันรุ่งขึ้นที่บ้านเจ้าสาวก็จะจัดงานเล็กๆ กันในบ้านเท่านั้นค่ะ
ส่วนโคมคือ ไปหาเจอมาว่า ฝ่ายชายจะแขวนโคมไฟที่ถือไปตอนย่องไปหาสาวน่ะแหละ ไว้ที่หน้าห้องของสาว
ฉะนั้นคนอื่นก็จะรู้ได้ว่าหนุ่มสาวตกลงกันได้ไหมก็เมื่อมีโคมไฟนั้นแขวนอยู่หน้าห้องถึงสามคืน
ฉะนั้นมันเลยเหมาะเหม็งที่จะเป็นฟิคติดเรท
ทำไมปู่เป็นคนแบบนี้ ฮาาาาาาาาา

เซตติ้ของซานิวะเป็นเซตติ้งมาตรฐานที่เรากำหนดเอาไว้ แต่ยังไม่เคยเปิดเผยที่ไหน ;P
รวมถึงเซตติ้งโลกในอนาคตของซานิวะด้วยค่ะ
ถ้ามีโอกาส คงจะได้มาแนะนำกัน
= ถ้าไม่ขี้เกียจเขียนไปเรื่อยๆ ก็จะมีเรื่องออกมาเรื่อยๆ ให้รู้นั่นเอง แล้วเราจะได้กำหนดเซตติ้งให้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ขอเชิญติชมได้ตามอัธยาศัยค่า <3

ปล. กะจะมี side story ของเรื่องนี้ด้วย จะพยายามเขียนนะ =3= <--- ยัยขี้เกียจ

5 comments:

  1. แหมมมมมมมมม ปู่ขรา พูดจาอ่อนหวานแต่ตักตวงเอาซะเปรมเลยนะคะ <3

    ReplyDelete
    Replies
    1. อุ๊ยตาย ใช้คำถูกใจ ตักตวงอะไรกันคะ XDDDDD

      Delete
  2. ตายตายตายยยยย ////-//// ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะคะะ //กอดไรท์

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณเช่นกันค่า XDDDD

      Delete
  3. ปู่คะ.... /ยกนิ้ว #เดี๋ยว รักไรท์มากสนุกมากเลยค่ะ ฮือออ /กอดรัด

    ReplyDelete